14 January 2010

เที่ยวฟินแลนด์ ตอนที่ 7

Day 8 ไปนั่งรถลากที่ใช้เจ้าหมาพันธ์ฮัสกี้ลาก ( Husky dog) เสียอย่างเดียวไม่มีหิมะมาช่วยเพิ่มบรรยากาศ ช่วงบ่ายขับรถชมวิว

รายการสำหรับวันนี้คือ ช่วงเช้าเราจะไปฟาร์มสุนัขพันธ์อัสกี้ ( Husky dog) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักเท่าไหร่นัก ช่วงบ่ายไปขับรถชมวิว ฟาร์มที่ว่านี้ขับรถแค่ 15 นาทีก็ถึง กิจกรรมวันนี้เราไปเพื่อมิเชลเลอร์โดยเฉพาะ แต่ตัวแม่นี่ก็แอบตื่นเต้นไปด้วยเหมือนกัน ฮ่าๆ เพราะว่ามีรายการนั่งรถเลื่อนให้เจ้าพวกนี้มันลากกันด้วย แหมก็เราไม่เคยนั่งเหมือนกันนิ ก็อดตื่นเต้นไม่ได้อ่ะ สนนราคาก็ไม่แพงจนเกินไป ผู้ใหญ่คนละ 25 ยูโร เด็ก 25 ยูโร รวมสามคนก็แค่ 65 ยูโรเท่านั้น เสียอย่างเดียวไม่มีหิมะมาช่วยเพิ่มบรรยากาศ แต่ว่าจะมาช่วงหน้าหนาวนี่ก็ไม่ไหว หนาวเกิน แล้วราคาก็แพงกว่าปกติด้วยอ่ะ

เมื่อเราไปถึงเจ้าก็พบว่าไม่ได้มีแต่เราเท่านั้น มีเพื่อนร่วมทริปของเราอยู่ 2 ชุดรออยู่ก่อนแล้ว เจ้าของฟาร์มเป็นผู้หญิงร่างเล็กแต่ท่าทางแข็งแรงออกมาต้อนรับ พร้อมด้วยผู้ช่วยซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นลูกสาว แต่งตัวทะ มัดทะแมงเช่นกัน ดูไปดูมาคล้ายๆอินเดียนแดงซะมากกว่า เธอพาพวกเราทั้งหมดเข้าไปในบ้าน ภายในบ้านน่ารักมาก มีเตาผิงอยู่ด้านข้างให้ความอบอุ่น กลางคืนคงโรแมนติกไม่น้อย จากนั้นก็เริ่มเล่าประวัติความเป็นหมาของหมาพันธ์นี้ให้ฟังคร่าวๆ

จบจากการบรรยาย ก็พาไปดูบรรดานักวิ่งทั้งหลายที่อยู่ในกรง (กรงละหนึ่งตัว) มีอยู่ทั้งหมด 65 ตัว ตัวที่อายุน้อยที่สุดคือ 8 เดือน แต่ตัวมันใหญ่มาก เจ้าหมาทั้งหลายพอเห็นเจ้านายก็พากันกระดี๊กระด้า วิ่งพล่านไปมา ส่งเสียงเห่ากันขรม เหมือนกับจะรู้ว่า อ่า ได้เวลาที่จะได้ออกมายืดเส้นยืดสายกันอีกแล้วเว๊ยพวกเรา เจ้าของ บอกว่าเจ้าพันธ์นี้ไม่ก้าวร้าว ไม่ทำร้ายคน ที่ต้องบอกซะก่อนเนี่ยก็เพราะว่าถ้ามันออกมาได้ มันจะมาสวัสดีเราๆท่านๆทันทีด้วยการกระโจนขึ้นมาจูบจมูก อันนี้ไม่ต้องขวัญกระเจิงจนวิ่งหนี ให้เราแค่ยกเข่าขึ้นแล้วใช้มือทำท่าลดลง (ไม่ใช่ตีเข่ามันนะ ขืนทำงั้นมีหวังโดนมันผัดแน่เชียว) เป็นการบอกว่าพอแล้วๆ มันก็จะหยุด ถึงตอนนี้ก็เริ่มกลัวนิดๆแล้วล่ะ แหมก็เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนนี่นา เกิดมันหมั่นไส้เรา หรือว่าจูบแล้วไม่หอมถูกใจ ดันอารมณ์เสียงับจมูกเราเข้าให้ก็แย่อ่ะดิ ดั้งยิ่งมีน้อยๆอยู่ ก็ได้แต่หวังให้มันไปจูบคนอื่นแทนแล้วกัน

จากนั้นเจ้าของก็จะเข้าไปเลือกบรรดาผู้โชคดีให้ได้ออกมาทำหน้าทีสารถี แต่ละตัวก็แข่งกันเห่ากันส่งเสียงดังลั่น ถ้าจะแปลก็คงได้ความว่า เจ้านายจ๋าเลือกฉันเถอะจ้ะ เลือกฉันนะ นะ พลีส ฮ่าๆตัวไหนได้รับเลือก ก็ดีอกดีใจ ออกมาได้ก็วิ่งรี่ตรงเข้ามาจูบแขกเหรื่อกันใหญ่ มชล ก็เริ่มจะเหวอๆ มาหลบหลังพ่อ แบบกล้าๆกลัว อยากเล่นก็อยากเล่น ส่วนเจ้าตัวที่ยังไม่ถูกเลือกก็วิ่งพล่านกันใหญ่เชียว เสนอหน้ากันสุดฤทธิ์ เมื่อเห็นว่าหมดหวังแล้วคราวนี้ ก็มีเห่าต่อว่านิดหน่อย แต่พอเห็นว่าหมดหวังแน่ๆแล้วตรู เห่าไปก็เหนื่อยเปล่า ก็หยุดเห่าไปนอนหมอบต่อแบบเซ็งๆ

การเลือกนั้นก็ไม่เลือกที่รักมักที่ชังนะคะ เค้าจะมีระบบคือ จะติ๊กไว้ว่า เจ้าตัวไหนถูกเลือกไปแล้ว คราวนี้ก็หมดสิทธิ์ เค้าจะเลือกเจ้าตัวอื่นตามคิวไปเรื่อยๆ เพื่อความเท่าเทียมกัน แต่ก็อดสงสัยไม่ได้เนอะว่า หมามันจะรู้ระบบมั๊ยนะ คิดว่าคงไม่อ่ะนะ ไม่งั้นทุกทีทีมีคนมา ถ้ามันรู้ว่าคราวที่แล้วฉันออกไปแล้ว คราวนี้ก็อดแน่ งั้นไม่ต้องเห่าให้เสียเวลาดีกว่า แต่เราเห็นว่ามันก็เห่ากันทุกตัวนั่นล่ะ แสดงว่ามันไม่รับรู้ระบบอะไรนี่ด้วยหรอก อิอิ

กรงหมาและบรรดาเพื่อนร่วมทาง



หน้าตาเจ้าหมาจะเป็นแบบนี้ล่ะค่ะ



มชลเริ่มกลัวนิดๆ



กล้าๆกลัวๆ


ต่อจากนั้นก็จะนำบรรดาสารถีมาผูกเชือกเข้ากับตัวรถเลื่อน พร้อมทั้งการสิตวิธีการขับ หรือการบังคับเจ้ารถเลื่อนนี้ หลักๆก็คือเราจะต้องถือเชือกให้ตรง ระหว่างที่วิ่งไปถ้าเห็นว่าเชือกไม่ตรงต้องหยุดทันที โดยใช้เบรกที่มีอยู่ตรงคันบังคับ ไม่งั้นรถมันจะทับหมาได้ ซึ่งเค้าจะถือว่าคนขับหรือคนบังคับเนี่ยต้องระวังอย่างมาก ไม่งั้นจะถือว่าไม่เป็นห่วงสวัสดิภาพของหมา รอบแรกนี่เจ้าของจะเป็นคนบังคับให้ดูเป็นตัวอย่าง รอบถัดไปจึงจะผู้เข้าร่วมเป็นคนขับเอง

พอถึงเที่ยวที่ผู้ร่วมทริปคนอื่นสนใจจะบังคับ บาร์ทกับมชล นั่งหน้า เรานั่งหลัง นั่งไปก็กลัวเหมือนกัน ยิ่งตอนเลี้ยวกลัวว่าจะหกคะเมนเทเรากลิ้งลงมา แต่ก็รอดมาได้ รอบถัดไป บาร์ทขอบังคับเองมั่ง มชล นั่งกับป้าคนหนึ่งข้างหน้า ส่วนเราขอนั่งหลังอีกตามเคย แบบว่าเผื่อไปชนอะไรเนี่ยตรูขอโดนที่หลังแล้วกัน อิอิ ระหว่างนั่งนั้นก็ลุ้นไปด้วย ถึงช่วงเลี้ยวทีก็ใจหายใจคว่ำทุกที่ แต่ในที่สุดก็ผ่านมาได้

พอได้นั่งได้บังคับกันครบทุกคน (ยกเว้นเรา ไม่กล้าอ่ะกลัวไปทับหมาตาย) ก็มาถ่ายรูปคู่กับเจ้าหมาเป็นที่ระ ลึก มชล ชอบมากๆ อยากนั่งอีก แต่เวลาหมดซะแล้ว จากนั้นก็กลับเข้ามาดื่มชากาแฟกัน พร้อมกับให้ดูวิดีโอแสดงการลากเลื่อนในฤดูหนาว ซึ่งเมื่อนั่งรถเลื่อนเสร็จแล้ว ก็จะมีปิคนิคท่ามกลางแคมป์ไฟด้วย เห็นแล้วรู้สึกเสียดายนิดๆ ก็แหมมันน่าโรแมนติกออกนะ ท่ามกลางหิมะสวยงามเชียว อยากจะกลับมาเที่ยวในหน้าหนาวอีก แต่เมื่อนึกถึงความหนาวอย่างร้ายกาจก็ทำให้เราพอจะตัดใจได้บ้าง


คนหน้านี้เจ้าของ กำลังจะปล่อยเข้าลู่วิ่งแล้วจ้ะ



โฉมหน้าเจ้าสองตัวหลัง ลิ้นห้อยเพราะวิ่งมาหลายรอบแล้ว



ขอนั่งเที่ยวทีเจ้าของบังคับเองดีกว่าเพื่อความชัวร์



เพื่อนร่วมทางบังคับ แต่จำเป็นต้องนั่งเพราะ มชล ขออีกรอบ



เหนื่อยมั๊ยตัวเอง



ได้ตุ๊กตาหมาฮัสกี้เป็นที่ระลึก



ดี๊ด้าเพราะได้มาสองตัวเลย


เมื่อได้เวลาสมควร เราก็กลับมาพักผ่อนกันที่บ้าน ปล่อยให้ มชล ได้เล่นตามประสาเด็กบ้าง บ่ายแก่ๆก็ขับรถไปเที่ยวกันรอบๆทะเลสาบใกล้ๆ ระหว่างทางก็ไม่น่าเบื่อ เพราะสองข้างทางเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี มีดอกหญ้าสีเหลืองอร่ามเต็มท้องทุ่ง สลับกับทะเลสาบเป็นระยะๆ นานๆจะเห็นบ้านสักหลังนึง จากนั้นเราก็ตามหาจุดชมวิวที่เห็นในแผนที่ ก็ขับรถเข้าป่าไปเรื่อยๆ เหมือนกับว่าจะถึงแล้ว แต่ก็เข้าไม่ถึงซักที มองเห็นแล้วว่ามีหาดอยู่ข้างหน้า แต่เราเข้าไม่ได้ เพราะเป็นบ้านคนแถวนั้นทั้งสิ้น นึกๆก็น่าอิจฉาเนอะ ได้อยู่บ้านน่ารักๆ มีวิวสวยตลอดปี แต่จะว่าไปหน้าหนาวก็คงหนาวใช่เล่น เมื่อลงไปชื่นชมความงามไม่ได้ ก็ตัดสินใจกลับกันบ้านดีกว่า กลับบ้านเร็วหน่อยจะได้มีเวลานั่งเล่นเย็นๆใจ


กระโดดโลดเต้นก่อนไปนั่งรถชมวิวต่อ



ส่วนเราก็เดินถ่ายรูปต้นไม้ใบหญ้าไปเรื่อยเปื่อย



วิวระหว่างทาง



ทุ่งหญ้า



ทะเลสาบ



ที่พักข้างทางระหว่างทะเลสาบและทุ่งหญ้าข้างบน



ใกล้กันมีที่ให้เด็กได้ยืดเส้นยืดสายกันด้วย


พอมาถึงบ้านก็เห็นว่าเค้ามาเปลี่ยนฟิวส์ให้แล้ว ทำกับข้าวได้ตามปกติ วันนี้ก็เลยได้กินหมูทอดกับปลาแซล มอน เอาบวบฝรั่งมาต้มในน้ำซุปไว้ซดคล่องคอให้ชื่นใจ กินข้าวเสร็จให้บาร์ทพา มชล ไปเล่นต่อ เพราะมันยังไม่มืด ส่วนเราก็เตรียมหุงข้าว เตรียมหั่นเครื่องปรุงให้เรียบร้อย สำหรับไว้ผัดข้าวผัดไว้กินกลางทางในวันพรุ่งนี้ เพราะได้เวลาย้ายนิวาสสถานกันอีกแล้ว คราวนี้เราจะเคลื่อนที่ไปถึงแลปแลนด์กันเลย ตามข้อมูลเค้าบอกว่าพื้นที่ด้านบนมีประชากรอยู่บางเบามาก ร้านค้าก็จะน้อยลง เราเลยต้องเตรียมเสบียงให้พร้อม เพราะระยะทางพรุ่งนี้ยังอีกยาวไกลทีเดียว


กระท่อมน้อยกลางทุ่งนา



ดูฟ้าสวยๆรอตอนตอไป