14 January 2008

ฟินแลนด์ ตอนที่ 2

หลังจากหายไปเป็นชาติ วันนี้มีเวลากลับมาเล่าต่อแล้วค่ะ แต่จะได้อีกซักกี่ตอนนี่ก็เอาแน่อะไรเจ้าของบล๊อคมะได้หรอก หุหุ ดูซิดองไว้ด้ายยยยยเป็นปีๆเนี่ย มาต่อเลยละกัน แต่ถ้าใครต่อไม่ติดก็มะเป็นไร เพราะตอนที่แล้วยังไม่ได้ไปไหนเลยอ่ะ แค่ได้ขึ้นเรือเท่าน้นแหละ เด๋วมาดูซิว่าวันนี้จะได้เหยียบฟินแลนด์ป่าวน้า

Day 2 31/05/06

ความเดิมจากตอนที่แล้วก็คือ ได้ขึ้นเรือตอนดึกดื่นเที่ยงคืนกว่า ก็สลบไสลกันไปแต่กว่าจะหลับได้ ก็ปาเข้าไปตีสาม ตอนเช้าเราก็เลยตื่นสายกันไปตามระเบียบ กะว่าตื่นใกล้ๆเวลาไปกินอาหารเช้าก็ได้ เมื่อคืนนี้ดูเวลาอาหารเช้าแล้วอยู่ระหว่าง 9 โมงถึง 11 โมง เราก็เลยกะว่าตื่นซัก 9 โมงกว่าๆ แล้วไปกินเอาประมาณ 10 โมงก็ยังทัน ที่ไหนได้พอไปถึงห้องอาหาร
"ห้องอาหารปิดแล้วค่ะ" พนักงานที่หน้าห้องอาหารบอกมา ก็เหวอสิคะ
"จะปิดได้ไงคะ นี่มันพี่งจะสิบโมงเองนะ ก็เห็นติดป้ายไว้ในห้องนอนว่า ปิดสิบเอ็ดโมงนี่คะ" เถียงเจ้าหน้าที่อีกแน่ะ
"ตอนนี้ 11 โมงแล้วค่ะ คุณต้องปรับเวลาใหม่แล้วนะคะ เวลาต่างกัน 1 ชั่วโมงค่ะ"

แป่ว ไอ้เราก็คิดว่าเวลาคงเหมือนกัน เพราะคราวที่แล้วไปนอร์เวย์ ก็ยังใช้เวลาเดียวกันอ่ะ แต่ลืมไปว่า ฟินแลนด์นั้นมันอยู่เหนือขึ้นมาอีก ดังนั้นเวลามันจะเร็วกว่ายุโรป 1 ชั่ว โมง บาร์ทหันมาบอกว่า เออ ใช่ มันรู้แล้ว แต่มันลืม เซ็งเลยตู ให้มันได้งี้ดิ ลืมได้ลืมดี สงสัยมันจะเป็นอัลไซเมอร์ป่าววะเนี่ย

โอเค กินที่นี่ไม่ได้ก็เลยเดินไปที่สแน๊คบาร์ เผื่อจะมีอะไรให้กินมั่ง โชคดีที่ตรงนี้ก็มีอาหารง่ายๆให้กินเหมือนกัน จำพวกแซนด์วิชไส้ต่างๆ ชากาแฟ มีซุปไก่แบบใสๆตั้งไว้หนึ่งหม้อ แค่นี้ก็ใช้ได้แล้วล่ะ ดีเหมือนกันคิดซะว่าเป็นการประหยัดเงินก็แล้วกัน เพราะที่ห้องอาหารนั้นก็ไม่ได้กินฟรีนะแต่ต้องจ่ายหัวละ 11.50 ยูโรโนแน่ะ กินที่นี่สั่งรวมกันสามคนจ่ายแค่ 12.50 ยูโรเอง
กินที่นี่ก็ได้เนอะประหยัดดี


กินอาหารเช้าเสร็จ เราก็ไปเดินสำรวจเรือกันว่ามีอะไรมั่ง เพราะวันนี้เราต้องอยู่ในเรือทั้งวัน ก็ต้องหาอะไรทำกันหน่อย มาเรือมันน่าเบื่อตรงนี้นี่เอง เหมือนติดเกาะยังไงยังงั้นเลย เมื่อก่อนเคยเห็นภาพการเที่ยวบนเรือสำราญ ดูแล้วน่าสนุก มีสระว่ายน้ำ มีงานเลี้ยงดินเนอร์หรูๆ แต่งตัวสวยๆ ทำให้เคลิบเคลิ้มอยากไปกะเค้ามั่ง บอกบาร์ทว่าอยากไปจังเลย แต่มันดันบอกว่า นั่นน่ะมันสำหรับคนแก่เค้าเที่ยวกัน วะ ให้มันได้งี้ดิ ชอบขัดคอซะจริง

แต่พอมาถึงตอนนี้ความคิดแบบนั้นหายไปเรียบเลยอ่ะ ไม่นึกอยากนั่งเรือเที่ยวอีกแล้ว ก็นี่แค่เริ่มต้นก็เริ่มเบื่อซะแล้ว มองไปทางไหนก็เจอแต่น้ำกับฟ้า นานๆจะเจอเรือใหญ่ที่มองเห็นห่างๆซะที ถึงแม้ในเรือจะมีห้องสันทนาการต่างๆให้ใช้ มีเกมส์จำพวกไพ่ สแคร๊บเบิ้ล รวมทั้งเกมส์อื่นๆอีกมากมายก็ตาม ก็งั้นๆล่ะ ก็คนไม่ชอบนี่ ส่วนของเด็กก็จะมีห้องเด็กเพื่อให้เค้าได้เพลิดเพลิน ภายในก็จะมีไม้ลื่น ทะเลลูกบอล (ก็มันมีลูกบอลเยอะมากก็เลยเรียกมันว่าแบบนี้แหละ) รวมทั้งอุปกรณ์วาดภาพ ทั้งสีเมจิ สีเทียน ให้ละเลงกันตามชอบใจ นอกจากนั้นชั้นบนของเรือก็ยังมีสระว่ายน้ำในร่มอีกด้วย แต่ก็จะเปิดปิดเป็นเวลาไม่ได้เปิดตลอดทั้งวัน

มชล สนุกกับที่ห้องเด็ก




นั่งมองน้ำกับฟ้า


บรรยากาศบนเรือในวันนี้ก็ไม่มีไรมากหรอก ก็มีผู้คนที่นั่งอยู่เป็นกลุ่มๆ มีทั้งกลุ่มใหญ่ กลุ่มเล็ก ประเภทครอบครัวที่มีเด็กเล็กๆนั้นมีน้อยมาก เพราะช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงปิดเทอม กลุ่มคนเที่ยวจึงเป็นประเภทปลอดเด็กซะมากกว่า บ้างก็คุยกันโฉงเฉง บ้างก็นั่งอ่านหนังสือไกด์บุ๊คกันไป แน่นอนก็คงจะไม่พ้นเรื่องฟินแลนด์นั่นเอง นักท่องเที่ยวในเรือนี้แทบทั้งหมดจะเป็นคนเยอรมัน มีคนดัชท์อยู่ประปราย ใกล้ๆกันก็เจออยู่สองคู่ เป็นคนสูงอายุท่าทางใจดี ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าเราจะได้เจอกันอีกตลอดทั้งทริปนี้เลยทีเดียว

สรุปว่าวันนั้นทั้งวันเราสามคนก็มานั่งเล่นนอนเล่นกันอยู่ใกล้ๆสแน๊คบาร์นี่แหละ ก็อ่านหนังสือมั่ง นั่งมองน้ำกับฟ้ามั่ง สลับกับพามิเชลเลอร์ไปเล่นที่ห้องเด็ก เฮ้อ กลางวันบนเรือนี้ช่างยาวนานเหลือเกินในความรู้สึกของเรา ต่างกับคราวก่อนที่ไปนอร์เวย์ที่เราขึ้นเรือตอนเย็น นอนบนเรือหนึ่งคืน เช้ามาก็ถึงนอร์เวย์แล้ว ไม่ต้องอยู่บนเรือทั้งวันแบบนี้

หลังจากผ่านกลางวันนานแสนนานมาแล้วนั้น ก็ได้เวลามื้อเย็นซะที โดยมื้อเย็นวันนี้ เราจะไปกินอาหารที่ห้องอาหารของเรือกัน เป็นแบบบุฟเฟ่ จ่ายหัวละ 23 ยูโร สำหรับมิเชลเลอร์ เค้ามองๆแล้วก็โอเคไม่ต้องจ่าย คงเห็นว่าตัวเล็กมั้ง จะกินซักเท่าไหร่ เออ ค่อยยังชั่วหน่อย ไม่งั้น 3 หัวนี่ปาเข้าไป 69 ยูโรเชียวนา

สำหรับอาหารก็มีให้เลือกเยอะพอสมควร อาหารทะเลก็มีกุ้งต้มตัวเล็กแช่เย็นคล้ายๆกุ้งแชบ๊วย ฝรั่งนี่เค้ากินกุ้งเย็นนะ ไม่กินร้อนแบบบ้านเรา เสียดายไม่มีน้ำจิ้มซีฟู๊ด ไม่งั้นจะแซ่บกว่านี้อีก มิเชลเลอร์ก็ชอบกินกุ้งมาก ตักมาทีก็เต็มจานกินกันสองคนแม่ลูก ไม่พอ มีจานที่สองต่ออีก ฮ่าๆ อย่างอื่นก็มี ปลาแซลมอนทอดอร่อยดี แล้วก็มีแบบรมควันด้วย อันนี้เราตักมานิดเดียวไม่ชอบกินเท่าไหร่ ส่วนอาหารอื่นก็มี กระดูกหมูอบ เนื้ออบราดซอส แล้วก็บรรดาเนื้อทั้งหลายแหล่ อันนี้ปล่อยให้บาร์ทจัดการไปคนเดียว เรากับมิเชเลอร์ขอซัดกุ้งกันอย่างเดียวเลย

นอกจากนั้นก็ยังมีบรรดาสลัดต่างๆหลายชนิด ข้าวผัด ข้าวขาวก็มี ส่วนของหวาน ก็มีไอศรีมหลากรส เค๊กอีกหลากหลายชนิด ผลไม้ แคนตาลูป สับปะรด องุ่น เรียกว่ากินกันจนจุกไปเลยเชียว มื้อนี้อร่อยถูกใจมากๆ แถมมิเชลเลอร์ก็กินได้เยอะมากกว่าปกติ อย่างนี้ต้องเรียกว่าจ่ายแล้วคุ้ม ฮ่าๆ




หลังจากที่ต้องจากลาห้องอาหารมาด้วยความเสียดาย เพราะมันอร่อย อยากกินเยอะๆ แต่กระเพาะมันไม่เป็นใจด้วยอ่ะ ตอนนี้หนังท้องตึง แต่ก่อนที่หนังตาจะหย่อน เราสามคนก็ออกไปเดินย่อยอาหารกันหน่อย แล้วก็รอดูพระอาทิตย์ตกดินไปด้วย ก็เกือบสามทุ่มครึ่งโน่นแน่ะ กว่าดวงอาทิตย์อ้อยอิ่งจะลับฟ้าไปได้ พอดวงอาทิตย์จากไปก็ไม่มีอะไรให้ดู ก็กลับเข้ามาในส่วนที่เป็นบาร์ มีนักดนตรีมาเล่นกีร์ต้าร้องเพลงให้ฟังด้วย มิเชลเลอร์ชอบมาก ไปนั่งฟังหน้าสลอนอยู่ด้านหน้า จนสี่ทุ่มกว่าก็ยังไม่อยากจะกลับ ต้องบังคับกันถึงจะยอมไป ที่จริงมันก็ยังไม่ดึกเท่าไหร่ แต่เราอยากเข้าไปนอนเล่นที่ห้องมากกว่า อีกอย่างพรุ่งนี้เรือจะถึงฟินแลนด์ตอนเจ็ดโมงเช้า ก็เลยคิดว่าเข้านอนเร็วหน่อย เช้าจะได้ไม่ต้องตื่นแบบยากเย็น โดยเพาะมิเชลเลอร์

ดูอาทิตย์ตกดิน










แต่ก่อนที่เรือจะถึงฟินแลนด์ก็จะไปแวะจอดที่ประเทศ Eestonia ก่อน ประมาณตีสี่ คือเดิมบริษัทเดินเรือนี้เป็น ของประเทศฟินแลนด์ แต่พึ่งจะมาเปลี่ยนสัญชาติเป็นของ Eestonia ได้ไม่นาน ดังนั้นเส้นทางการเดินเรือจากเดิมที่เคยแล่นตรงไปฟินแลนด์ก็เลยต้องมาแวะจอดที่ประเทศ Estonia ก่อนนั่นเอง แบบว่าขอแวะบ้านก่อนนิดนึงนะจ๊ะ


Day 3 1/06/06 ถึงฟินแลนด์ซะที

เช้านี้เราตื่นกันตั้งแต่หกโมงเช้า เพราะเรือจะไปถึงฟินแลนด์ตอนเจ็ดโมงเช้าก็เลยต้องตื่นเช้าเป็นพิเศษ จัดการธุระส่วนตัวแล้วก็รีบเก็บข้าวของ ก็ไม่มากมายอะไรเพราะเอาแต่ของที่จำเป็นขึ้นมาเท่านั้นไม่ได้ขนขึ้นมาทั้งหมด จากนั้นก็รอเวลาที่เจ้าหน้าที่จะประกาศให้ไปที่รถได้ เก็บของเสร็จแล้วเวลายังมีเหลือ ก็ขอโผล่หน้าออกไปยลโฉมฟินแลนด์กันซะหน่อย เริ่มตื่นเต้นนิดๆแล้วล่ะ อีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ เราก็จะได้เริ่มต้นเที่ยวกันซะที

แต่พอโผล่ออกมานอกเรือ ว้า รู้สึกจ๋อยๆหงอยๆไปเลยอ่ะ ความตื่นเต้นเมื่อกี๊นี่แต่แรกมันลดลงไปอย่างถนัดใจ ภาพที่เห็นอยู่ข้างหน้านี้ไม่ได้ชวนให้ตื่นเต้นเหมือนแต่แรกเลยซักนิด อาจคงเพราะเช้านี้อากาศไม่แจ่มใส ท้องฟ้าดูหม่นๆเป็นสีเทา คล้ายๆกับจะมีฝน รวมทั้งท่าเรือที่เห็นตรงหน้าก็ดูไม่คึกคักเท่าที่ควร เงียบเหงาและซึมเซา โอย ขออย่าให้เป็นอย่างนี้ทั้งวันเลยนะ


บรรยากาศเหงาที่ท่าเรือ Hango


จากนั้นไม่นานเสียงเรียกให้ลงไปขึ้นรถได้แล้วก็ดังขึ้น แต่ละคนดูคึกคัก เตรียมพร้อมเต็มที่เชียว เหมือนกับว่าการรอคอยได้สิ้นสุดลงแล้ว ต่อไปนี้ก็จะได้เที่ยวกันให้สะใจ

เรือมาเทียบท่าที่เมือง Hanko ทางตอนใต้สุดของฟินแลนด์ ชื่อเมืองนี่ฟังดูคล้ายภาษาญี่ปุ่นเลย ทั้งๆที่สองประเทศนี้ก็ไม่ได้อยู่ใกล้กันซะหน่อย เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ ห่างจากกรุงเฮลซิงกิ เมืองหลวงของประเทศแค่ 130 กิโลเมตร ก็เป็นเมืองเล็กๆไม่ใหญ่โตอะไร แต่ก็ถือว่ามีความสำคัญในฐานะที่เป็นเมืองท่าเรือ ตามประวัติบอกว่า ในอดีตเคยเป็นที่สู้รบกันระหว่างรัสเซียกับสวีเดนด้วย เพื่อแย่งกันครอบครองฟินแลนด์ ในสงครามที่ชื่อว่า The Battle of Gangut โดยรัสเซียเป็นฝ่ายชนะ จริงๆแล้วฟินแลนด์เป็นประเทศที่ถูกสวีเดนกับรัสเซียแย่งชิงกันอยู่เรื่อยล่ะ มีการสู้รบกันหลายครั้งหลายครา ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ผลัดกันครอบครองพื้นที่สลับกันไปตลอด

นอกจากนั้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จนถึงต้นศวรรษที่ 20 Hango ยังเป็นเมืองท่าสำหรับผู้ที่ต้องการอพยพไปตั้งต้นชีวิตใหม่ที่อเมริกาเหนืออีกด้วย แถมยังมีอนุสาวรีย์ที่ทำเป็นรูปนกกำลังบิน ซึ่งแสดงถึงการโบยบินไปสู่ชีวิตใหม่อยู่ด้วย
และในช่วงที่เมืองนี้ยังอยู่ในความปกครองของรัสเซียนั้น เมืองนี้จัดว่าได้รับความนิยมจากชาวรัสเซียมากๆ มีการสร้างรีสอร์ตสปาสำหรับชาวรัสเซียโดยเฉพาะ โดยยังมีอาคารบางแห่งหลงเหลืออยู่ ปัจจุบันนี้กลายเป็นร้านอาหารไปแล้ว

เล่าฆ่าเวลาไปงั้นแหละ อิอิ เพราะกว่าจะออกจากเรือได้ก็ปาเข้าไปเจ็ดโมงครึ่ง ทั้งๆที่รถเราจอดอยู่ต้นๆ น่าจะออกได้ตั้งนานแล้ว แต่มันช้าตรงช่วงตรวจพาสปอร์ตนั่นเอง จะมีทหารจูงหมามาดมๆตามรถนำไปก่อนด้วย บางคันนอกจากตรวจพาสปอร์ตแล้วยังโดนค้นรถด้วย แต่ของเรานั้นแค่ดูพาสปอร์ตแล้วก็ถามว่ามาจากไหน มาทำอะไร ก็ถามแค่พอเป็นพิธีเท่านั้นเอง เพราะเป็นประเทศในกลุ่มเช็งเก้นเหมือนกัน แถมมีเด็กมาด้วย ก็เลยไม่มากเรื่องเท่าไหร่


ถึงฟินแลนด์ซะที


หลังจากผ่านด่านมาแล้ว เราก็ขับรถออกมาด้วยความงงๆ อาการงงๆนี้มักจะเป็นทุกครั้งของครั้งแรกที่เราจะเริ่มต้นเที่ยวประเทศที่เรายังไม่เคยเฉียดเข้ามาเลย ฮ่าๆๆ แต่พอหายงงแล้ว ทีนี้ถึงไหนถึงกัน บรรยากาศเมืองฮานโกะในยามเช้าเช่นนี้ดูไม่พลุกพล่าน แต่กลับจะเงียบเหงา เห็นผู้คนออกมาเดินเล่นยามเช้ากันประปราย ที่สะดุดตาคือ บ้านของคนที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านไม้กันทั้งนั้น ทาสีสันสดใสหลากหลายสี แต่กต่างกันไปตามความชอบของแต่ละคน ที่เห็นส่วนใหญ่จะเป็นสีแดง สีเหลือง ก็คล้ายๆกับบ้านของคนนอร์เวย์เลย

เราแวะจอดรถถ่ายรูปริมทะเลเพื่อเป็นที่ระลึกกันนิดหน่อย ตอนแรกกะว่าจะหาอะไรกินรองท้องกันก่อนเดินทางกันซะที่นี่เลย แต่ว่ายังไม่ค่อยหิวกันเท่าไหร่ ส่วนของมิเชลเลอร์ได้คุ๊กกี้รองท้องไปแล้ว เพราะเธอร้องขอตั้งแต่ขึ้นนั่งในรถแล้ว ก็เลยหมดปัญหาไป

พอออกจากตัวเมืองมาได้ เราก็เริ่มเข้าเขตถนนสองเลน สองข้างทางเป็นป่าสน นานๆจะเห็นบ้านข้างทางซักที แต่บ้านที่เห็นนั้นน่ารัก เป็นบ้านไม้สองชั้นมีสีสันสวยงาม บนถนนมีรถวิ่งอยู่บนถนนประปราย ความเร็วรถจำกัดแค่ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตรงช่วงที่ใกล้ทางแยกจะเหลือแค่ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ไปตลอด การจำกัดความเร็วรถแบบนี้ทำ ให้รู้สึกว่ารถมันวิ่งช้าเหลือเกิน พาลให้รู้สึกง่วงนอน อยากจะหลับซะให้ได้ ไม่สมกับเป็นวันแรกของการเที่ยวเลย ให้ตายเถอะ


บรรยากาศสองข้างทาง



บรรยากาศสองข้างทาง


สำหรับที่พักของเราในสามวันแรกนี้จะเป็นบังกาโลอยู่ที่รีสอร์ต Himos ที่เมือง Jämsä ฉันอ่านเอาเองว่าเมือง หยัมสา ฮ่าๆ ตอนแรกๆนั้นก็งงไปเลยกับชื่อต่างๆที่เป็นภาษาฟินนิช ( ภาษาประจำชาติของฟินแลนด์ เรียก ว่าภาษา ฟินนิช ) ไม่รู้จะอ่านว่าอะไร บางทีถ้าบาร์ทถามว่า เราจะไปเมืองไหนนะ หรือตอนนี้เราถึงเมืองอะไรแล้วเนี่ย ฉันอ่านไม่ออกซักที ต้องอ่านแบบคร่าวๆแล้วหรือไม่ก็สะกดไปเลยว่ามีตัวอะไรมั่งแล้วให้เธอไปนึกเอาแล้วกันว่าจะอ่านออกเสียงว่ายังไง ฮ่าๆ

เมืองหยัมสาเนี่ยอยู่เหนือเมืองเฮลซิงกิขึ้นไปค่อนไปทางทะวันตกของประเทศระยะ ทางจากฮานโกะไปเมืองหยัมสาเนี่ยประมาณ 360 กิโลเมตร ถ้าขับตรงไปเลยก็ประมาณสามชั่วโมงก็คงจะถึง แต่เนื่องจากเรามาถึงที่นี่กันแต่เช้า ก็เลยคิดว่าไม่เห็นต้องรีบเข้าที่พักนี่นา เพื่อให้คุ้มกับเวลาที่มี เราก็เลยจะแวะเที่ยวที่อื่นกันก่อนแล้วเย็นๆค่อยเข้าที่พักก็ได้

เราตกลงว่าจะขับอ้อมไปทางด้านตะวันตกของประเทศ เพื่อจะแวะเที่ยวสองเมืองด้วยกัน โดยทั้งสองเมืองนี้จะเป็นเมืองชายทะเลที่มีชื่อเสียง เมืองแรกที่จะแวะเที่ยวคือเมืองนานตาลี( Naantali ) เมืองที่สองคือเมืองเราม่า ( Rauma ) ชื่อสองเมืองนี้ค่อยอ่านง่ายหน่อย ฮ่าๆ แต่ก่อนจะมุ่งตรงไป เราก็แวะหาอาหารเช้ารองท้องกันซะก่อน เราแวะกันที่ปั๊มกลางทางแห่งหนึง ที่นี่มีศูนย์อาหารด้วย ดูสะอาดสะอ้าน มีอาหารแบบจานด่วนให้เลือก นอกนั้นก็มีขนมปัง ชากาแฟ มีส่วนที่จัดให้เด็กเล่นเป็นที่ถูกใจของมิเชลเลอร์มาก ห้องน้ำก็สะอาดสะอ้าน มีอ่างล้างมือพร้อมที่เช็ดมืออยู่ในห้องน้ำแต่ละห้องเลย และที่เจ๋งสุด อันนี้เราชอบมาก คือ มีสายฉีดสำ หรับชำระล้างที่ต่อมาจากอ่างล้างมือด้วยเพื่อให้ได้น้ำอุ่น แน่ะเข้าใจทำจริงๆ มาถึงตรงนี้คนอ่านอาจจะนึกว่า มันเจ๋งตรงไหน บ้านเราก็มี ใช่แล้ว แต่ที่เมืองนอกโดยส่วนใหญ่แล้วมันไม่มี กระทั่งที่บ้านก็ไม่มี มาใหม่ๆ มันอึดอัดมาก จนกระทั่งตอนที่เราซื้อบ้านสร้างใหม่ ก็เลยสั่งให้เค้าทำท่อเผื่อไว้ให้ใช้ต่อสายฉีดด้วย ตอนสั่งเค้าน่ะ เค้ายังงงๆเลย ไม่เข้าใจ มันจะทำทำไมวะเนี่ย เพราะที่นี่เค้าไม่มี ใช้แต่กระดาษชำระเท่านั้น อีกอย่างรู้สึกว่าประเทศนี้เค้าให้ความสำคัญกับเด็กอย่างมากเลยนะ นอกจากจะมีสนามเด็กเล่นแล้ว ในห้องน้ำเนี่ย จะมีกระโถนสำหรับเด็กไว้ในห้องน้ำแต่ละห้องด้วย ไม่ใช่แต่ผู้ใหญ่เท่านั้นนะจ้ะที่ฉี่เป็น หุหุ และหลังจากนั้นเราก็พบว่า ไม่ได้มีแต่ที่นี่ที่เดียว แต่มีแทบทุกทีเลย อันนี้ก็เป็นที่ถูกใจมิเชลเลอร์มาก จอดรถทีไรเป็นต้องอยากเข้าห้องน้ำ ไม่ใช่อะไร เธอจะไปนั่งกระโถนที่มีรูปร่างน่ารัก เช่น รูปหมีมั่ง รูปตุ๊กตามั่ง แตกต่างกันไป ดีจริงๆ หลังจากกินกันเสร็จเรียบร้อย เราก็เริ่มออกเดินทางไปเมืองแรกกันเลย


ขอเล่นก่อนแล้วค่อยไปต่อนะ


เราใช้ถนนสาย E18 มุ่งหน้าไปยังเมืองตูรกู ( Turku ) เพราะก่อนจะไปเมืองนานตาลีมันต้องผ่านเมืองนี้ก่อน เมืองตูรกูนี้ถือเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในฟินแลนด์ ในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของฟินแลนด์ในสมัยที่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของสวีเดนในระหว่างศตวรรษที่ 12 แต่พอมาในช่วงปี 1714 -1721 เป็นช่วงรัสเซียเข้ามาปกครอง รัสเซียก็ย้ายเมืองหลวงจากตูรกูซึ่งอยู่ใกล้สวีเดน มาเป็นเมืองเฮลซิงกิซะ เพราะอยู่ใกล้รัสเซียมากกว่า ที่จริงก็อยากจะแวะเมืองนี้อยู่เหมือนกัน แต่ดูเวลาแล้วน่าจะไม่พอ อีกอย่างจากหนังสือท่องเที่ยวเค้าจัดความน่าชมของเมืองนานตาลีเอาไว้เหนือกว่าเมืองตูรกู เราก็เลยต้องตัดใจไม่ชมเมืองนี้กัน แต่ลึกๆก็แอบคิดว่า ไว้วันหลังถ้ามีเวลาค่อยแวะมาก็ได้ แต่ในที่สุดเราก็ไม่มีเวลาได้มาเยี่ยมเมืองนี้อย่างที่นึกไว้เลย

เที่ยวเมืองนานตาลี ( Naantali )


มุ่งหน้าเมืองนานตาลี


จากเมืองตูรกูขับมาอีกไม่นาน เราก็มาถึงเมืองนานตาลีกันแล้ว เมืองนี้เป็นเมืองชายทะเลเล็กๆ อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฟินแลนด์ ห่างจากเมืองตูรกูประมาณ 10 กว่ากิโลเมตร เป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งนึงของฟินแลนด์ทีเดียว มีเกาะเล็กๆล้อมรอบ บ้านพักร้อนของประธานาธิบดีของประเทศก็อยู่ทีนี่เหมือนกัน เรียกว่าเป็นการการันตีความงามได้อีกขั้นนึงทีเดียว

จุดเด่นของเมืองนี้ก็คือ อาคารบ้านเรือนต่างๆเกือบทั้งหมด จะเป็นบ้านไม้มีสีสันสดใส มีโบสถ์สไตล์บาร์ร๊อคที่สวยงาม มีสปาโฮเต็ลที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในแถบสแกนดิเนเวีย และยังมีสวนสนุกที่ชื่อมูมินเวิร์ล ( Moomin ) สำหรับเด็กอีกด้วย

เราไปถึงเมืองนาตานลีประมาณเก้าโมงครึ่ง อ้อ ก่อนเข้าเมืองก็จะงงๆกับภาษาฟินนิชกันอีกแล้ว ปกติถ้าเข้าเมืองเราก็จะมองหาคำว่าซิตี้เซ็นเตอร์บนป้ายบอกทาง ทีนี้ก็ดันลืมว่ามันเป็นภาษาฟินนิชที่เราไม่รู้จักและไม่ใกล้เคียงกับภาษาอื่นใดเลยซักนิด อย่างภาษาเยอรมันหรืออิตาลี่ หรือฝรั่งเศสนี่บางทีเรายังพอเดาได้ใช่ป่าว เพราะมันมีบางคำที่ใกล้เคียงกันหรือใช้คำเดียวกัน บาร์ทก็เลยต้องขับวนไปวนมา ส่วนเราก็รีบเอาหนังสือมาเปิดดูคำศัพท์ แต่ยังไม่ทันเจอ บาร์ทก็ดันรู้ซะก่อน ถามเค้าว่ารู้ได้ไง เค้าบอกเดาเอาง่ะ แล้วเค้าก็เดาถูกซะด้วย สรุปว่าถ้าจะเข้าตัวเมืองก็ต้องดูคำว่า “Keskusta” ถ้าเจอคำนี้ก็ตรงดิ่งได้เลย

พอเข้าเมืองได้ ก็เริ่มเดินดูเมืองกันก่อนแล้วกันเพราะยังไม่หิว เราเดินมุ่งหน้าไปยังท่าเรือ ผ่านย่านที่อยู่อาศัย บ้านที่ห็นแทบจะทั้งหมดจะเป็นบ้านไม้ มีทั้งบ้านเดี่ยว บ้านเป็นแถว บางหลังก็มีหน้าจั่วแหลมๆคล้ายบ้านทรงไทยของเรา มีร้านขายของที่ระลึกประปราย แต่ทีสะดุดตาคือ สีสันของบ้านนั่นเอง มีทั้งสีเขียว สีเหลือง สีฟ้า หรือแม้แต่สีแดงก็มี สงสัยใครชอบสีอะไรก็ทากันได้ตามสบายไม่มีข้อห้ามเนอะ

อย่างนี้เราชอบมากเพราะมันดูสดชื่นมากกว่าใช้สีทึมซะอีก แล้วยิ่งในหน้าหนาวที่อากาศซึมเซา บางครั้งหดหู่ การทาสีบ้านสดๆแบบนี้ ช่วยลดความหดหู่ลงไปได้บ้างไม่มากก็น้อยล่ะเราว่าอ่ะ


ขอถ่ายรูปก่อนนะคะ



บ้านน่ารักๆในเมืองนานตาลี








หลังจากที่เราเดินดูบ้านเรือนกันไป ถ่ายรูปกันไป ไม่นานเราก็มาถึงท่าเรือ โอ้โห มันสวยจริงๆ น้ำทะเลเป็นสีฟ้าสดใส มีท่าจอดเรือส่วนตัวอยู่กระจุกหนึ่ง ด้านซ้ายมือมีภัตาคารริมน้ำ ด้านหลังเป็นเนินเขาสูงพอประมาณ มียอดโบสถ์เป็นฉากอยู่ด้านหลัง สวยจริงๆ และที่ชอบมากๆก็คือ มันเงียบแทบจะไม่ค่อยมีคนเลย อย่างนี้ถ่ายรูปสบายไม่ต้องคอยหลบผู้คน ส่วนมิเชลเลอร์ก็ยังใช้กล้องพลาสติกของเธออยู่ แต่ตอนนี้เริ่มรู้แกวแล้วว่ามันไม่เจ๋งเหมือนของแม่ เพราะกล้องแม่น่ะ ถ่ายรูปเสร็จก็ดูได้เลย เธอก็เลยมาง๊องแง๊งจะใช้กล้องของเรา ฮ่าๆ


บรรยากาศท่าเรือนานตาลี








ถ่ายรูปเสร็จเราก็เดินข้ามสะพานไม้ไปฝั่งตรงข้าม เพื่อจะไปชมโบสถ์ที่เราเห็นอยู่เมื่อกี้นี้นั่นเอง โบสถ์นี้มีชื่อว่า Vallis Gratiae ถือเป็นโบสถ์เก่าแก่อีกแห่งในฟินแลนด์ ตามประวัติบอกว่า สร้างขึ้นในปี 1443 แต่ส่วนที่เป็นหอระฆังนั้นมาสร้างเอาในปี 1797 ตัวโบสถ์ตั้งอยู่บนเนินสูงขึ้นไปพอประมาณ ถ้าไม่อยากเข้าโบสถ์ก็ถือซะว่าขึ้นไปชมวิวก็แล้วกัน สำหรับเราไหนๆก็ขึ้นไปแล้ว ก็ต้องขอเข้าไปชมด้านในซะหน่อย

การตกแต่งภายในโบสถ์เป็นไปแบบเรียบง่าย แต่ที่โดดเด่นเห็นจะเป็นส่วนที่เป็นบันไดไม้อยู่ติดกับเสา เป็นไม้แกะสลักสวยงาม นอกนั้นก็มีภาพวาดแบบเฟรสโกให้เห็นประปราย และที่ไม่คาดหวังอีกก็คือ มีห้องสุขาในโบสถ์ด้วย ก็เป็นเรื่องใหม่อีกล่ะ เพราะตามโบสถ์ที่เห็นในยุโรปทั่วไป เราก็ไม่เคยเห็นห้องสุขาหรือว่ามีแต่เราไม่รู้นะ แล้วก็ยังมีกระโถนให้เด็กอีกด้วย อย่างนี้จะไม่ให้เราชอบเข้าโบสถ์ได้ยังไง ฮ่าๆๆ สรุปว่าทริปนี้นอกจากจะทัวร์ปกติแล้วยังมีทัวร์ห้องสุขาแถมมาอีกด้วย


โบสถ์ Vallis Gratiae





ภายในโบสถ์ Vallis Gratiae



ภายในโบสถ์ Vallis Gratiae



นี่แหละห้องสุขาในโบสถ์อ่ะ


ดูโบสถ์เสร็จก็ได้เวลาต้องบอกลาเมืองนานตาลีกันแล้ว ระหว่างทางเดินกลับมาที่รถ ผ่านบ้านไม้ริมทางที่เป็นร้านขายของที่ระลึกน่ารักๆ อดใจไม่ได้ที่จะเข้าไปดู ของที่มีก็เป็นพวกงานฝีมือ ฝ้าปักต่างๆ แล้วก็แก้วเจียรนัยรูปสัตว์สีวันสดใส บาร์ท ซื้อแก้วเจียรนัยรูปนกเป็นของฝากให้แม่เค้า ส่วนเราไม่ได้อะไร เพราะเสียดายสตางค์ หุหุ


แวะร้านขายของที่ระลึก


ก่อนเดินทางต่อ เราแวะกินเบอร์เกอร์สัญชาติฟินแลนด์รองท้องไปก่อน แบบว่าร้านนี้มันอยู่ใกล้กับที่จอดรถเรามากที่สุด ก็เลยไม่อยากเสียเวลา ร้านนี้ไม่ใหญ่โตอะไร มีมุมสำหรับเด็กเล่นด้วย แน่นอนเราไม่ลืมสำรวจห้องน้ำ ทำยังกะว่าจะไปสำรวจสุขอนามัยของเค้ากันแน่ะ ฮ่าๆๆๆแล้วก็ตามคาดหมาย มีของเด็กด้วย ประทับใจอีกแล้ว เลยกลายเป็นว่าพอแวะที่ไหน เราก็จะต้องไปสำรวจห้องน้ำมันซะทุกที ฮ่าๆ

หลังจากสำรวจห้องน้ำ เอ๊ย ไม่ใช่ หลังจากกินเสร็จแล้ว ก็เดินสำรวจเมืองส่วนที่เป็นย่านการค้าซักนิด แล้วก็เดินย่อยอาหารไปในตัว จากร้านแมคฟินแลนด์ เดินเข้าไปจะเป็นย่านการค้า มีตลาดนัดเล็กๆ ร้านขายของ ร้านอาหาร ทั้งๆที่เป็นช่วงกลางวันแต่ก็ไม่พลุกพล่านเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะเป็นเมืองเล็กๆ แล้วก็ยังไม่ถึงหน้าท่องเที่ยวผู้คนก็เลยยังไม่เยอะ อย่างนี้เราชอบ จะได้ไม่ต้องเบียดเสียดแย่งกันดูแย่งกันชม เดินแป๊บเดียวก็ทั่ว ไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ ก็เลยกลับกันดีกว่า


แวะเมืองเราม่า ( Rauma )

จากเมืองนานานตาลี เรายังมีเวลาไปเที่ยวต่อได้อีกที่เมืองเราม่า ( Rauma ) เมืองนี้ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ เหนือเมืองนานตาลีขึ้นไปด้านบน ถือเป็นเมืองท่าเรือที่เก่าแก่ที่สุดอีกเมืองหนึ่งของฟินแลนด์ นอกจากนั้นยังได้ชื่อว่าเป็น “ wooden town” ที่ใหญ่ที่สุดในแถบสแกนดิเนเวียนอีกด้วย ด้วยว่าสิ่งก่อสร้างในตัวเมืองเก่า ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน ร้านค้าต่างๆ ซึ่งมีประมาณ 600 หลังคาเรือนด้วยกันสร้างด้วยไม้แทบทั้งสิ้น และยังคงสภาพมาจนถึงปัจจุบัน และในปี 1991 เมืองเราม่าก็ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกอีกด้วย

เกื่อบบ่ายโมงเราก็มาถึงเมืองเราม่า แว่บแรกที่เห็น ก็อดตื่นเต้นกับความน่ารักของเมืองนี้ไม่ได้ ว่าเมืองนานตาลีน่ารักแล้วนะ แต่เมืองนี่กลับยิ่งน่ารักมากกว่าอีก บริเวณที่องค์กรยูเนสโกขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลกนั้น จะอยู่ในส่วนที่เรียกว่าเขตเมืองเก่า ( Old Rauma ) หรือ“ wooden town” เมืองทั้งเมืองมีแต่บ้านไม้สีสันสดใส มีทั้งเหลือง แดง เขียว น้ำตาล มีหน้าจั่วคล้ายๆบ้านทรงไทย ไม่รู้ใครเลียนแบบใครกันแน่ ฮ่าๆ

บรรดาบ้านเรือนในเมือง Rouma












เราเดินดูบ้านเรือนไปเรื่อยๆ ยิ่งเดินยิ่งชอบ น่ารักไปหมดเลย เดินมาถึงตรงใจกลางเมือง ก็จะเห็นศาลาว่าการเมืองเก่า ( The Old Town Hall ) ตอนแรกคิดว่าเป็นโบสถ์ซะอีก แต่ว่าไม่ใช่ สร้างขึ้นในปี 1776 ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงผลงานเกี่ยวกับงานฝีมือประเภทถักริมผ้าเช็ดหน้าอะไรแบบนั้นแหละ ซึ่งเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของชาวเมืองนี้


Old Touwn Hall


จากเขตเมืองเก่า เราเดินออกไปรอบนอกเมืองก็จะเจอกับโบสถ์ “The Church of the Holy Cross” มีลำธารเล็กๆกั้นกลางโดยมีสะพานไม้ให้เดินข้ามไป โบสถ์นี้ที่สร้างในศตวรรษที่ 15 แม้จะไม่ใหญ่โต แต่ภายดูสวยงาม ด้านบนมีภาพวาดแบบปูนเปียกสีสดใส ลวดลายตามเสาก็ดูสวยอ่อนช้อย มีหนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลาประจำการอยู่ คอยให้ข้อมูลของโบสถ์กับนักท่องเที่ยวด้วย อันนี้เราชอบ แหม ก็แค่อาหารตา ฮ่าๆๆ กลับมาเรื่องโบสถ์กันต่อ ภายนอกนั้นจะมีหอสูงสีขาว อันนี้เพิ่งสร้างเมื่อปี 1816 จุดประสงค์ก็เพื่อใช้เป็นประภาคารของชาวเรือนั่นเอง


The Church of the Holy Cross



ลำธารน่ารักข้างๆโบสถ์



งานศิลปะข้างโบสถ์



ภายในโบสถ์



ภายในโบสถ์



ลวดลายบนเพดาน


ออกจากโบสถ์ก็เดินไปทางส่วนที่เป็นย่านการค้า ซึ่งอยู่ไม่ไกลเท่าไร่ ส่วนนี้เหมือนๆกับย่านการค้าในเมืองทั่วๆไป เดินเล่นได้ซักพักเราก็คิดว่าถึงเวลาเดินทางต่อกันได้แล้ว และคงจะตรงไปเมืองที่เราจะพักกันเลย จะได้มีเวลาแวะซื้อเสบียงและถึงที่พักไม่เย็นจนเกินไป



เอ สาวที่ไหนมาเล่นน้ำใครคลองเนี่ย อิอิ


เข้าพักที่รีสอร์ต Himos ที่เมือง Jämsä

เข้าเมือง Jämsa แล้ว



ตื่นได้แล้วลูก


เราออกจากเมืองเราม่าประมาณเกือบบ่ายสาม มาถึงที่พักเกือบหกโมงเย็นได้ ที่ที่เราพักนั้นเป็นรีสอร์ตขนาดใหญ่ มีบ้านพักหลายแบบด้วยกัน ทั้งเรือนแถว หรือแบบบังกาโล เราได้ห้องพักแบบบังกาโลแบบน่ารักหลังใหญ่ อยู่บนเนิน มองลงมาเห็นทะเลสาบขนาดปานกลางอยู่ด้านหน้า ข้างในมีสองชั้น ชั้นบนมีสองห้องนอนและส่วนที่เป็นที่นั่งเล่น น่ารักมาก ชั้นล่าง มีห้องนอนอีกหนึ่งห้อง มีครัวแบบเปิดโล่ง อุปกรณ์ครบครัน ทั้งเตาอบ ไมโครเวฟ ครบถ้วนเหมือนอยู่บ้านยังไงยังงั้นเลย ต่อไปก็เป็นส่วนห้องนั่งเล่น มีทีวี วิทยุ เครื่องเล่นซีดีหรือวีดีโอพร้อมสรรพ มีเตาพิงแบบบ้านในเมืองหนาว ถัดไปก็เป็นห้องน้ำขนาดใหญ่ มีอ่างจากูซี่ด้วย หรูซะไม่มี และที่สำคัญจะขาดซะไม่ได้คือมีห้องซาวน์น่าอยู่ในนั้นด้วย ใช่แล้ว จะขาดได้ไง ไม่งั้นเดี๋ยวไม่สมกับที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับซาวน์น่ากันพอดี


นี่แหละที่พักของเราที่นี่


ภายในบ้าน









ซาวน์น่า








ตื่นเต้นกับที่พักกันพอสมควรแล้ว ก็ช่วยกันขนของเข้าบ้าน ส่วนเราก็เตรียมอาหารมื้อแรกทันที ง่ายๆสำหรับวันแรก สปาเก็ตตี้คู่ใจ ฮ่าๆ ใช่แล้ว สปาเก็ตตี้นี่แหละ ง่ายสุด เร็วสุด เหมาะสำหรับการเดินทางวันแรกของทุกทริปของเรา ไม่ได้ชื่นชอบอะไรเป็นพิเศษ แต่เพราะว่ามันง่ายมากๆ แค่ต้มเส้น แล้วปรุงด้วยซอสสำเร็จรูปที่ขนมาด้วย เอาหมูสับใส่ลงไป เห็ดอีกนิดหน่อย แค่นี้ก็อิ่มสบายแล้ว

อาหารเย็นวันแรก


เสร็จจากอาหารเย็น มชล ก็ฉลองด้วยการแช่น้ำในอ่างจากูซี่เป็นที่สนุกสนาน ส่วนเราก็ขอทำตัวเป็นคนฟินแลนด์ด้วยการอบซาวน์น่าซะหน่อย แหม ช่างสบายอะไรอย่างนี้

แล้ววันแรกในฟินแลนด์ก็จบลงเพียงเท่านี้ ยาวซะ เนอะ แต่จะตัดออกก็เดียวจะขาดตอนไป ใครอ่านได้จบจบถึงบรรทัดนี้ ต้องขอปรบมือให้เลยค่ะ พบกันตอนต่อไปนะคะ