13 March 2008

เที่ยวฟินแลนด์ ตอนที่ 4 มิเชลเลอร์ผจญภัย

Day 5 03/06/06 วันที่ 5 มิเชลเลอร์ผจญภัย แล้วต่อด้วยเดินป่าช่วงบ่าย

เช้านี้เราตื่นกันแบบสบายๆ วันนี้เราจะไปเดินเที่ยวป่าแถวๆที่พักนี่เอง เป็นกิจกรรมที่ทางรีสอร์ตจัดไว้ให้เลือกตามใจชอบ โดยช่วงเช้านี้จะเป็นเวลาของมิเชเลอร์โดยเฉพาะ เป็นการเดินป่าแบบเล็กๆ ผจญภัยนิดหน่อย แล้วจบด้วยการปิคนิคแบบชาวฟินแลนด์ ส่วนช่วงบ่ายเป็นเดินป่าสำหรับผู้ใหญ่ ระยะทางไม่ไกลเกินไป พอทนสำหรับคนที่ต้องแบกลูกไว้ด้านหลัง ฮ่าๆๆ

นั่นคือแผนการสำหรับวันนี้ แต่พอตื่นเช้ามาก็ได้มีลุ้นซะแล้ว ว่าจะทำได้มั๊ย อากาศไม่เป็นใจซะเลย ฟ้าไม่แจ่มแถมยังมีละอองฝนพรำๆอีกด้วย ได้แต่ภาวนาอย่าให้ฝนลงหนักกว่านี้เลยนะ เปิดทีวีดูอากาศแล้วก็โล่งใจ ไม่มีฝนตกหนักเลยสบายใจว่างานนี้ไม่มีล้ม จัดการเพิ่มพลังให้กับร่างกาย จากนั้นก็ไปรอตามที่นัดหมาย เจอไกด์รอเราสามคนอยู่ก่อนแล้ว เป็นหนุ่มฟินน์หน้าละอ่อน ช่วยให้ทริปนี้ดูสดใส เอ๊ะเกี่ยวอะไรเนี่ย อ้อ ยังมีสาวน้อยชาวดัชท์ที่มาฝึกงานด้วยอีกหนึ่งคน นับไปนับมามีลูกทัวร์ทริปนี้เพียงครอบครัวเราเท่านั้น ก็บอกแล้วว่าเรามาช่วงที่เค้ายังไม่ปิดเทอม งานนี้จึงไม่ต้องเบียดเสียดกับใคร กลายเป็นว่าเรามีไกด์ส่วนตัวไปเลยดีเหมือนกัน

แนะนำตัวกันเสร็จสรรพ เราก็เริ่มทัวร์กัน เดินมุ่งหน้าไปยังจุดที่ทางรีสอร์ตสร้างไว้สำหรับให้เด็กๆได้ผจญภัยกัน ดูไปคล้ายๆกับการฝึกค่ายทหาร แต่เป็นที่ถูกอกถูกใจของมิเชลเลอร์มั่กๆ มีทั้งการเดินไต่เนินแบบเล็กๆ เดินไต่เชือก ปีนป่าย และโหนเชือกแบบทาร์ซาน เรียกว่ารอบเดียวไม่พอ มีร้องขอรอบสองรอบสามตามมาอีก ถึงตอนนี้ฝนที่โปรยพรำๆก็หายไปแล้ว ตรงตามคำทำนายดีแท้

มชล เริ่มผจญภัย




















จบจากผจญภัยแบบไม่อยากจะจากมาเล๊ย มีงอแงนิดหน่อย แต่ไกด์หนุ่มบอกว่า เดี๋ยวเราจะไปปิคนิคกันเท่านั้นแหละ สาวผมน้อยของเราก็กระดี๊กระด๊า เลิกงอแงทันที เดินตามหนุ่มไปต้อยๆ ไม่นานก็มาถึงที่ตั้งแคมป์กัน ตัวแคมป์ทำด้วยไม้รูปทรงหลี่ยมๆกลมๆแบบกระ โจม คล้ายๆกระโจมของชาวอินเดียนแดงนั่นแหละ ด้านในมีม้านั่งโดยรอบ ตรงกลางมีเตาผิง เอาไว้ก่อไฟให้ความอบอุ่นและทำอาหารไปในตัว ไกด์หนุ่มสาธิตวิธีจุดไฟให้ดู ไม่ต้องมีเชื้อ ไม่ต้องมีกระดาษหนังสือพิมพ์ก็ติดไฟง่ายมาก ใช้เอาท่อนฟืนท่อนใหญ่ๆนี่ล่ะ เอามีดพกติดตัวมาถากหรือขูดนี่ล่ะให้มันเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วก็จุดไฟ แค่นี้เองง่ายจริงๆ จากนั้นก็เอาไส้กรอกที่เตรียมมาให้เราจัดการปิ้งกันได้ แล้วก็บอกวิธีว่าให้วางไม้ปิ้งไว้ด้านข้างๆของเปลวไฟ จะสุกง่ายกว่าและไม่ไหม้ด้วย







ไกด์หนุ่มของ มชล


ระหว่างรอไส้กรอกสุก ไกด์ก็เล่าให้ฟังว่า ในป่าที่ฟินแลนด์จะมีกระท่อมหรือกระโจมแบบนี้ให้เห็นทั่วไป ภายในก็จะมีข้าวของแบบที่เราเห็นนี้ล่ะ ก็สร้างไว้สำหรับให้เป็นที่พักผ่อนเวลาเดินป่ากัน ใครจะเข้าไปใช้ก็ได้ แต่เมื่อจะจากไปก็ดูแลให้เรียบร้อยเหมือนเดิม โดยมาร ยาทก็ควรเอาฟืนมาเติมไว้ให้สำหรับคนที่จะผ่านมาต่อไปด้วย อีกเรื่องที่ทำเอาเราชักหวาดๆก็เรื่องหมีป่า เค้าบอกว่าเมื่อไม่กี่วันมานี้มีผู้ หญิงเข้าไปเดินป่าแล้วเจอหมีป่าเข้าโดยบังเอิญ แต่โชคดีไม่เป็นอะไร เพราะทั้งคนทั้งหมีไม่ได้คิดว่าจะมาเจอกัน หมีก็ตกใจเลยหนีเข้าป่าไป เราก็เลยถามว่า มีเยอะเลยเหรอ เจ้าหมีป่าเนี่ย แล้วบ่ายนี้เราจะเจอมันมั๊ยอ่ะ เค้าบอก ไม่เจอหรอกคร๊าบ เพราะเราไม่ได้เข้าป่าลึก เออ โล่งใจไปหน่อยตู พอไส้กรอกสุกเราก็จัดการกับมันจนไม่เหลือซาก อร่อยดี หรือว่าเพราะหิวก็ไม่รู้ เดี๋ยวเสร็จแล้วจะไปแวะซุปเปอร์ซื้อมากินอีก

ก็จบกิจกรรมช่วงเช้าไปด้วยความสนุกสนานของมิเชลเลอร์และความอร่อยของไส้กรอก มีเวลากลับมาพักที่บ้านได้อีกสองชั่วโมงก่อนที่จะไปเริ่มเดินกันต่อในช่วงบ่าย รายการนี้ไม่ต้องจ่ายตังเพราะรวมอยู่ในค่าที่พักแล้ว พอได้เวลาเราก็ไปรอกันที่นัดหมาย ทริปนี้มีลูกทัวร์สูงอายุมาร่วมเดินด้วยอีก 2 คู่ด้วยกัน แต่เห็นอย่างนี้อย่านึกว่าเค้าจะเดินไม่ไหวนะ สบายมาก เดินกันเก่งจริงๆ อย่าดูถูกผู้สูงอายุที่นี่เป็นอันขาดเชียว เพราะเค้าเดินกันจนเป็นนิสัยเลยเดินกันเก่งๆ เราต่างหากที่เหนื่อยเร็วกว่าเค้าซะอีก

เริ่มเดินช่วงแรกยังเป็นแค่ทางลาดเนินธรรมดา ช่วงนี้มิเชลเลอร์ยังเดินเองได้อยู่ ก็ปล่อยให้เค้าเดินเอง แม้จะช้าไปหน่อยแต่ก็ไม่เป็น ไร ไกด์หยุดรอเป็นระยะๆ เดินมาได้ซักพักก็เริ่มเข้าสู่ช่วงลาดชัน ตอนนี้ต้องจับมิเชลเลอร์ใส่เป้หลังบาร์ทไว้ แต่เจ้าตัวก็ทำท่าไม่ยอม จะเดินเอง กว่าจะยอมได้ก็หลอกล่ออยู่นาน ไม่อยากให้เดินเอง กลัวลื่นไหลตกลงไปจะแย่ อีกอย่างก็จะช้าเกินไป กลัวคนอื่นเสียเวลาด้วย แต่โชคดีที่คุณลุงคุณป้าทั้งสองคู่ไม่มีอาการเบื่อหน่าย เลยสบายใจ อ่ะพอถึงช่วงที่เป็นทางลาดชันลงเขา เธอก็ร้องอยากจะลงไปเดินเองมั่ง ก็ต้องปล่อยให้ไปลองดู โดยให้พ่อเค้าอยู่ข้างหน้า แล้วเราตามหลัง คอยระวังไว้ กะว่าเดี๋ยวเถอะ ล้มแล้วอย่ามาร้องนะอยากไม่เชื่อดีนัก แน่ะ ดูสิ มีแบบนี้ด้วย เอ๊ะเป็นแม่ยังไงเนี่ย ฮ่าๆ แต่ปรากฎว่าคุณเธอไม่ล้มค่ะ แถมเดินคล่อง มีหันมาบอกกับเราอีกด้วยแน่ะ ว่าดูซิหนูทำได้ น่านให้มันได้ยังนั้นสิ แล้วก็ท่าทางจะชอบไกด์หนุ่มมากเลย จะคุยกับเค้าตลอด ทั้งๆที่ฟังเค้าก็ไม่รู้เรื่อง ฮ่าๆก็เจ้าหนุ่มน่ะส่งภาษาปะกิดมาให้ แต่เธอก็บ่ยั่นเลยค่ะ อิอิ แต่ปรากฎว่าคนที่จะแย่เนี่ยกลับเป็นตัวเราเอง ก็แหม วันๆไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเอาซะเลย พอต้องเดินขึ้นเนินสูงลาดชันเข้าก็จะจอดเอาง่ายๆสิคะ เพื่อไม่ให้ขายขี้หน้าคุณลุงคุณป้าทั้งสองคู่ เราก็ควักยาเหลืองประจำกายออกมาสูดๆดมๆเข้าไป ก็เดินได้ต่อ เฮ้อ กะว่ากลับไปต้องฟิตร่างกายซะหน่อย จะได้ลุยต่อ แต่ก็เหมือนเดิมเจ้าเครื่องออกกำลังกายก็กลายเป็นที่ตากผ้าไปซะแระ ฮ่าๆ

เริ่มเดินป่า


สูงชันขึ้นเรื่อยๆ


จะว่าไปบรรยากาศเดินเที่ยวป่าคราวนี้แตกต่างไปจากครั้งที่ผ่านๆมาของเรา (ครั้งก่อนๆก็เดินกันไปเรื่อยๆ ดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยเปื่อย เหนื่อยก็พัก หากไม่รอตูก็เป็นมีเรื่อง ไม่เห็นเดินจูงมือชี้ชวนเหมือนในหนังเลยว่ะ)ก็ตรงที่มีไกด์หนุ่มนี่ล่ะค่ะ อ๊ายยยย ไม่ช่ายๆ ก็แค่มีอาหารตาทำให้มีกำลังใจเดินขึ้นอีกนี๊ดนึงน่า นั่นมันแค่น้ำจิ้ม การเดินเที่ยวครั้งนี้นอกจากจะได้รับความเพลิดเพลินแล้ว ยังได้ความรู้เกี่ยวกับพืชพรรณไม้ในป่าแทบนี้ไปด้วย ตรงนี้แหละที่มันต่างกับครั้งก่อนๆ

ป่าที่เราเดินกันนี้เป็นป่าสน แต่ละต้นก็สูงชะลูดราวกับจะแข่งขันกันว่าใครจะสูงที่สุด ( ช่วงที่เราไปนั้นคือต้นมิถุนา แม้เริ่มจะเข้าฤดูร้อนแล้วแต่อากาศก็ยังคงหนาวอยู่เล็กน้อย ) ส่วนพื้นดินด้านล่าง ก็ปล่อยให้เจ้าต้นบลูเบอร์รี่ครอบครองกันไป เจ้าบลูเบอร์รี่นี่เป็นผลไม้ลูกกลมๆเล็กๆสีแดงจัดจนออกดำทีเดียว มันมีจำนวนมากถึงมากที่สุด เรียกว่ามีที่ว่างตรงไหนเป็นต้องไปจับจองไว้อย่าให้เหลือที่ว่างได้เชียว ช่วงนี้กำลังออกดอกออกผล จะไปแก่และเก็บได้ก็ช่วงประมาณสิงหา - ตุลาโนนแน่ะ อย่างที่บอกว่ามันมีมากเหลือเกิน มีทุกทีมีทุกป่า ใครใคร่เก็บก็เก็บกันไปไม่มีใครว่า มีแรงเท่าไหร่ก็ขนกันไปได้เลย เนื่องจากมันมีมากซะเหลือเกินก็เลยมีเทศกาลแข่งกันเก็บเลยทีเดียวว่าใครจะเก็บได้มากที่สุด ยังนึกเสียดายว่าเราน่าจะมาเที่ยวในช่วงนั้น จะได้ไปเก็บกับเค้ามั่ง ไม่ได้หวังรางวัลหรอก แต่ชอบอ่ะ ชอบกินผลไม้สดๆจากต้น ยิ่งเก็บแล้วกินเดี๋ยวนั้นเลย ยิ่งชอบ ยังจำได้ว่าตอนไปนอร์เวย์เมื่อหลายปีก่อน ไปช่วงปลายกรกฎา-สิงหา เป็นช่วงที่เจ้าลูกราสเบอร์ลี่ (คล้ายๆสตรอเบอร์รี่ แต่ลูกเล็กกว่า นิ่มๆหยุ่นๆ ) สุกพอดี แล้วมันก็มีอยู่เต็มสองข้างทาง ไปทางไหนก็เจอ เราก็เดินแวะเก็บไปเรื่อย (ตอนนั้นยังไม่มีลูกมากวนใจ อิอิ)จนคนข้างๆงง นี่มันจะมาเที่ยวหรือว่ามาเก็บของกินกันแน่ แล้วมันก็บอกว่า อ่ะนี่เอาเงินไป ไปซื้อมากินให้จุกไปเลย อ่ะ แบบนี้มันก็ไม่ได้อารมณ์โว๊ย มันต้องเดินเก็บไปกินไปสิมันถึงจะอร่อยน่ะ






บลูเบอร์รี่สีดำ


นอกจากเจ้าต้นบลูเบอร์รี่แล้ว ก็ยังมีพืชจำพวกมอสอยู่มากมาย กระจายกันเป็นหย่อมๆ เป็นกลุ่มๆ บางชนิดก็มีลักษณะคล้ายๆฝอยขัดหม้อสีเขียวแห้งๆกระจายอยู่ทั่วไป บางชนิดก็เป็นต้นเล็กๆสีเขียวอ่อนขึ้นอยู่เป็นกลุ่มดูคล้ายกำมะหยี่ บางชนิดก็คล้ายกับปะการังในท้องทะเล บางชนิดก็มีรูปใบเป็นแฉกเล็กๆคล้ายดวงดาว มองดูเหมือนมีดาวดวงเล็กๆเกาะอยู่ตามพื้นดิน บางชนิดก็คล้ายต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงแต่เป็นขนาดจิ๋ว เรียกว่าแค่เดินก้มๆเงยๆดูเจ้าพืชพวกนี้ก็ไม่มีเบื่อเลย มิเชลเลอร์ก็ชอบ ชี้ชวนให้เราดูแล้วก็ถามโน่นนี่ไม่มีหยุด เราก็ตอบได้มั่งไม่ได้มั่ง มั่วๆไปมั่งให้ผ่านพ้นไปก็มี อ๊ายยยยย ใครจะไปตอบได้หมดอ่ะ คำถามของเด็กเล็กน่ะมันไม่มีสิ้นสุดซะทีนีนา












นอกจากเจ้ามอสนี่แล้ว (ไม่ใช่พี่มอสสามหนุ่มสามมุมนะ) ก็ยังมีเจ้าจอมปลวกยักษ์กระจายไปทั่ว แต่จริงๆมันคือมดต่างหาก เป็นมดสีส้มๆตัวไม่เล็กไม่ใหญ่เท่าเจ้ามดแดงตูดโด่งหรอก ถ้าไกด์ไม่บอกเราก็นึกว่าเป็นจอมปลวก ก็แหมมันเล่นไปเลียนแบบสร้างบ้านเหมือนเจ้าปลวกเค้านี่นา เออ สัตว์มันก็มีเลียนแบบกันด้วยนะนี่ นึกว่ามีแต่คนเท่านั้น ฮ่าๆ








สู่พื้นราบต้องเดินเองแล้วนะ


งานเลี้ยงย่อมมีการเลิกรา เดินป่าก็ต้องมีการสิ้นสิ้นสุด วุ๊ย มันเข้ากันยังไงเนี่ย แบบว่าอยากจบแต่หามุกจบไม่ลง ก็เลยขอยืมสำนวนเค้ามาใช้หน่อย ก็เป็นอันว่าการเดินป่าของเราก็สิ้นสุดสงด้วยความเพลิดเพลินจำเริญใจของผู้ร่วมทริปทุกคน ขอบและร่ำลาคุณไกด์หนุ่มแล้วก็แยกย้ายกันไปตามอัธยาศัย

กลับถึงที่พัก สองพ่อลูกลงไปเล่นน้ำในอ่างจากูซี่กันเป็นที่สนุกสนาน ส่วนเราก็หาเรื่องทำกิน วันนี้เมื่อยๆเหนื่อยๆ จริงๆขี้เกียจต่างหาก คิดว่าจะทำอะไรกินดีให้มันง่ายสุดๆ ไม่ต้องยุ่งยาก ก็เลยเอาไก่มาผัดกับผงปรุงรสคนอร์ไสตล์กรีก (อันนี้เตรียมมาจากบ้าน) ใส่หอมใหญ่กับพริกปาปริก้าสีแดงลงไป รสชาติก็เค็มๆมันๆกินกับข้าวสวยร้อนๆ ส่วนของเราก็มีแถมหน่อ เอาปลาแซลม่อนรมควันสำเร็จรูปจากซุปเปอร์ มาซอยหอมแดง บีบมะนาวลงไปตัดกับรสเค็มๆแค่นี้ก็อร่อยเหาะแล้ว เสียอย่างเดียวไม่มีพริกขี้หนูมาเพิ่มความจัดจ้าน ได้แค่นี้ก็หรูสุดแล้วเรา ฮ่าๆ

หน้าตาอาหารวันนี้


อิ่มหนำสำราญกันแล้วก็นั่งเล่นนอนเล่นกันเรื่อยเปื่อย พอส่ง มชล เข้านอนแล้ว เราก็มาเตรียมเก็บของ พรุ่งนี้เช้าเราจะออกจากที่นี่ มุ่งหน้าไปยังจุดต่อไปที่เมือง Sotkamo / Vuokattiซึ่งอยู่ตอนกลางของประเทศ

อืม กะว่าตอนนี้คงสั้นๆไม่มีไรมาก แต่ทำไมเขียนไปเขียนมามันยาวไปได้ก็ไม่รู้สิ งั้นจบมันดื้อๆแบบนี้ดีกว่า