30 October 2008

เที่ยวฟินแลนด์ ตอนที่ 5 จาก Jämsä ไป Vuokatti

Day 6 04/06/06 เดินทางไปยังที่พักแห่งใหม่
เช้านี้ตื่นกันประมาณแปดโมงครึ่ง ไม่ต้องรีบร้อนเพราะไม่มีรายการเที่ยวอะไรพิเศษหลักๆคือการย้ายไปยังเป้าหมายต่อไป เราจัดการอาหารเช้ากันแบบง่ายๆ เสร็จแล้วก็เก็บสัมภาระไปใส่รถ หน้าที่นี้ยกให้บาร์ทไป ส่วนฉันก็มาทำความสะอาดบ้าน เช่น ดูดฝุ่น ทำความสะอาดห้องน้า ไม่ถึงขนาดให้เอี่ยมอ่องหรอก แค่ไม่ให้ดูน่าเกลียดก็พอใช้ได้แล้ว ส่วนมากบังกาโลในยุโรปมักจะตั้งกฎนี้ไว้เสมอ หากไม่ทำแล้วทิ้งความเละเทะเอาไว้ก็จะจะโดนปรับ สำหรับที่นี 90 ยูโรเชียว ถ้าไม่อยากทำและไม่อยากโดนปรับ ก็ระบุไว้ตอนจองทัวร์แล้วก็จ่ายค่าทำความสะอาดไว้ 60 ยูโรก็ได้ แต่สำหรับฉัน เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจะต้องไปเสียเงิน ทำเองดีกว่าไม่ได้สกปรกอะไรมากมาย ที่สำคัญประหยัด

หลังจากสำรวจตรวจตราความเรียบร้อยแล้ว เก้าโมงสี่สิบห้าเราก็เริ่มเดินมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านเล็กๆที่ชื่อว่า Vuokatti ที่พักแห่งใหม่กันได้ซะที เส้นทางที่เราจะใช้คือ Jyväskylä -Kuopio - lisalmi - Kajaani - Stok- Vuokatti

บ้านพักหลังแรก


มชล หน้าแป้นเตรียมพร้อม

ระหว่างทางเราแวะกินอาหารกลางวันกันที่ ABC เป็นซุปเปอร์มาเก็ตและศูนย์อารหารตลอด 24 ชั่วโมง มีอาหารแบบบุปเฟต์ มีอาหารตามสั่งด้วย ฉันเลือกแบบตักตามสบายดีกว่า จะได้กินหลายๆอย่าง ตักข้าวผัดมา 1 จาน ตักหมูอบ 1 จานเล็ก และสลัดอีก 1 จาน น้ำส้ม 1 ขวด ทั้งหมดนั่นเป็นของฉันกับมิเชลเลอร์ ส่วนบาร์ท อยู่ได้ด้วยกาแฟกับขนมปัง 1 ชิ้น รวมกันแล้วแค่ 11.50 ยูโรเอง ค่าอาหารที่นี่เผลอๆจะถูกกว่าเนเธอร์แลนด์ซะอีก

ตั้งแต่มานี่ฉันประทับใจกับศูนย์อาหารระห่างทางมากๆ รู้สึกว่าเค้าใส่ใจกับนักเดินทางทุกวัย ที่สำคัญกับเด็กๆ เช่น จัดพื้นที่สำหรับเด็กๆได้นั่งกิน เสร็จแล้วก็ยังมีที่เล่นให้ด้วย แม้กระ ทั่งห้องน้ำ ก็ยังมีที่เฉพาะให้เด็กๆเป็นตัวตุ๊กตาน่ารักๆอีกต่างหาก มิเชลเลอร์จึงไม่เคยเบื่อกับการเข้าห้องน้ำระหว่างทางเลย เรียกว่าไปแวะที่ไหนเธอก็จะขอแวะดูห้องน้ำทุกที่ไป บางทีไม่ปวดก็ต้องเข้า เพราะจะไปดูตุ๊กตาในห้องน้ำนั่นเอง นอกจากนั้นก็ยังเอาใจคนรักหมาอีกด้วยนะเออ ตรงลานจอดรถจะมีที่ไว้สำหรับบรรดาหมาๆทั้งหลาย มานั่งรอ หรือพักให้น้ำให้ท่ากันด้วย ลักษณะคล้ายๆห้องแถว แบ่งเป็นล๊อคๆ ห้องใครห้องมัน เพื่อว่าตัวไหนเกิดไม่ชอบหน้ากันจะได้ไม่ต้องเห็นหน้ากันไง ฮ่าๆๆ

หลังจากได้พักและเพิ่มพลังกันแล้ว เราก็ออกเดินทางกันต่อ วันนี้ท้องฟ้าสดใส มึดครึ้มเป็นครั้งคราว แต่ที่ขาดไม่ได้คือ กลุ่มเมฆที่จับตัวเป็นกระจุกๆ กระจายอยู่เต็มท้องฟ้า สวยงามจริงๆ ถนนหนทางโล่งมากๆ นานๆจะมีรถวิ่งสวนมาสักคัน ก็ดีไปอย่าง เวลาถ่ายรูปจะได้ไม่มีอะไรมาบดบัง
ถนนนี้เป็นของเราอีกแล้ว


โล่งซะ


บรรดาก้อนเมฆทั้งหลาย






สิ่งที มชล ตามหาระหว่างทาง


ที่พักหมา

ระหว่างทางเราแวะเมือง Kuopio กันเล็กน้อย เมืองนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ช่วงก่อนเข้าตัวเมืองนั้น จะเห็นบ้านไม้กะทัดรัด น่ารักปลูกเรียงรายเป็นระยะ พอเริ่มเข้าไปในตัวเมืองก็จะเป็นอพาร์ตเมนต์แบบสมัยใหม่ แต่ก็ยังมีบางส่วนที่คงรูปแบบไม้ไว้ เราไม่ได้ดูอะไรมากที่นี่ เพียงแค่เดินเล่นไปเรื่อยๆ ผู้คนไม่มากนัก เพราะเป็นวันอาทิตย์ ร้านรวงปิดกันหมด ได้ไปแวะโบสถ์ ซึ่งอยู่ใกล้กับแม่น้ำ ตัวโบสถ์สวยสง่า ด้านหน้าเป็นสวนสาธารณะเล็กๆ มีทางลาดชันนำไปสู่ตัวโบสถ์ สวยมาก ส่วนภายในดูเรียบง่าย ไม่เริดหรูอลังการ ส่วนตึกที่เรียงรายด้านข้างโบสถ์ ก็คล้ายๆกับอาคารในปราสาทเทพนิยาย ในซอกทางเดินแคบๆหลังตึกนั้นฉันพบว่ามีร้านอาหารจีนแทรกตัวอยู่ด้วย ดูซิ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ยังได้เจอคนจีนแทรกตัวอยู่เสมอ
ศาลาว่าการเมือง Kuopio


ตัวโบสถ์มองจากแม่น้ำขึ้นไป


มองจากตัวโบสถ์ บันไดนำไปสู่สวนเล็กๆ ลิบๆที่เห็นเป็นแม่น้ำ


ภายในโบสถ์


โบสถ์


ตึกรามรอบๆโบสถ์




สองพ่อลูก


บ้านระหว่างทาง

จากเมืองนี้เราก็มุ่งหน้าตรงไปเมืองที่เราจะพักกันเลยโดยไม่แวะที่ไหนอีก ประมาณห้าโมงเย็นเราก็มาถึง ที่พักคราวนี้เป็นแบบบ้านแถวชั้นเดียว แต่มีชั้นลอย เอ๊ะ ยังไง คือไอ้ชั้นลอย น่ะมันคือที่นอน ดูแล้วก็น่ารักดี แต่ไอ้ที่ไม่ดีก็ตรงเวลาจะนอนนี่แหละต้องไต่บันไดแบบชันๆขึ้นไป จริงๆแล้วก็เป็นที่ถูกอกถูกใจของมิเชลเลอร์เค้าล่ะ ขึ้นๆลงๆ สนุกมาก แต่เราหัวใจจะวาย กลัวเค้าจะพลาดหล่นตุ๊บลงมา เฮ่อ ส่วนอุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้านครบกครัน ที่ขาดไม่ได้ก็ซาวน์น่า ถูกใจมั่กๆ
บ้านพักแห่งที่สอง


ครัวเล็กๆ แต่อุปกรณ์ครบครัน


ฮ่าๆๆ ขอหนูสำรวจห้องน้ำหน่อยนะคะ


โห น่านอนจริงๆ จะนอนเตียงไหนดีน้า




ได้ปีนป่ายแบบนี้หนูชอบมั่กๆ

หลังจากเก็บของเข้าบ้านเสร็จ เราก็ออกไปสำรวจรอบๆที่พักกันซะหน่อย รีสอร์ตนี้ตั้ง อยู่ริมทะเลสาบ เสียดายห้องเราไม่ได้อยู่ด้านหน้า แต่ก็ไม่ถึงกับห่างมาก เดินไม่กี่นาทีก็ถึงด้าน หน้าแล้ว ตรงด้านหน้ามีศาลารูปแบบคล้ายๆกระโจมไว้ให้สำหรับมาสังสรรค์ ทำบาบีคิวกันได้ด้วย มีเตาและฟืนไว้เพียบพร้อม น่าสนุกจริงๆ ยามเย็นปิ้งไป กินไป ชมพระอาทิตย์ลับฟ้าที่ริมทะเลสาบ นั่นคือความฝัน แต่ความจริงคือ วันนี้เรากินกันแบบตามมีตามเกิด เนื่องจากฉันเหนื่อย เอ้อ ขี้เกียจอ่ะนะ ก็เลยเอาข้าวที่เหลือจากเมื่อเช้า ที่ตั้งใจเอามากินกลางทาง แต่ก็ไมได้กิน จะทิ้งก็เสียดาย มันยังไม่บูดนี่หว่า ก็เลยเอามาทำข้าวผัดซะเลย ใส่ทุกอย่างที่เหลือๆเข้าไป เป็นต้นว่า หอมใหญ่ มะเขือเทศ แฮม แล้วก็ไข่ทอด แค่นี้เราก็สามคนก็อิ่มและประหยัดไปด้อีกมื้อนึงแล้ว
ซุ้มบาร์บีคิว


ด้านในมีเตาพร้อมฟืนเรียบร้อย


บรรยากาศริมทะเลสาบ





ก่อนเข้านอนเราไปเอาโปรแกรมกิจกรรมจากรีสอร์ตมาดู มีหลากหลายมาก เช่น ไปซาฟารีเพื่อซุ่มดูหมี ต้องค้างในที่ซุ่มดูด้วยหนึ่งคืน น่าสนนะ แต่ราคาคนละ 130 ยูโร แพงไปหน่อย แถมไม่รับประกันว่าหมีมันจะออกมาเพ่นพ่านให้ดู อีกอย่าง การซุ่มดูจะต้องเงียบมาก ข้อนี้ลืมไปได้เลยที่จะมาให้มิเชเลอร์เงียบเสียง งานนี้ดูแล้วถ้าจะเสียเงินฟรี เลยขอผ่าน กิจ กรรมต่อไปก็คือการไปดูฟาร์มกวาง อันนี้ก็ผ่าน เพราะไว้รอไปดูตอนไปถึงแลปแลนด์ดีกว่า นอกนั้นก็มีพายเรือ ตกปลา จนมาถึงไปฟาร์มสุนัขฮัสกี้ (Husky) ก็คือเจ้าหมาพันธ์ที่ใช้ลากเลื่อนที่เราเห็นในหนังนั่นแหละ อันนี้เข้าท่า เพราะให้เราได้นั่งและหัดขับที่ลากเลื่อนด้วยตัวเองกันด้วย มิเชลเลอร์รู้ก็ตื่นเต้น ตกลงเราเลือกไปฟาร์มเจ้าฮัสกี้ในวันถัดไป วางแผนกันเรียบร้อย ก็ส่งมิเชลเลอร์เข้านอน ส่วนฉันก็ไปรีแลกซ์ในห้องซาวน์นา สบายจริงๆ ส่วนพรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวเมือง Kajani ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่
อาหารจำเป็น

มีอะไรมาให้ดูและทายเล่นๆก่อนจบ แต่ไม่มีรางวัล อิอิ
ทายซิอะไรเอ่ย ติ๊กต่อกๆ ตู้เย็นป่าวว้า



เอ ทำไมข้างในเป็นแบบนี้ล่ะ แล้วจะแช่ของได้ไงน้อ

ติ๊กต่อกๆๆๆๆ
...
...
...
...
...
...
มันแช่ของไม่ได้แน่ๆ เพราะมันไม่ใช่ตู้เย็น แต่มันคือที่เห็นตามภาพนี่เลยค่า

มันคือตู้อบเสื้อผ้านั่นเองค่า ซักเสร็จแล้วก็เอามาผึ่งไว้ในนี้ (เครื่องซักผ้าเค้าก็มีให้นะ สบายจิงๆ) จัดการปิดประตูซะ เปิดสวิสเดินเครื่อง แล้วมันก็จะทำงานให้เอง โหย เจอครั้งแรกเราก็งงๆ มันอะไรกันว้า ก็ไม่เคยเห็นนี่นา นี่ล่ะนะ ข้อดีของการไปเที่ยว นอกจากจะได้ความเพลิดเพลิน ยังเป็นการเปิดหูเปิดตา ได้เห็นในสิ่งที่เราไม่มีอีกด้วยน้า แต่วันนี้จบแค่นี้ก่อนนะ มีเวลาแล้วมาเขียนต่อค่า

13 March 2008

เที่ยวฟินแลนด์ ตอนที่ 4 มิเชลเลอร์ผจญภัย

Day 5 03/06/06 วันที่ 5 มิเชลเลอร์ผจญภัย แล้วต่อด้วยเดินป่าช่วงบ่าย

เช้านี้เราตื่นกันแบบสบายๆ วันนี้เราจะไปเดินเที่ยวป่าแถวๆที่พักนี่เอง เป็นกิจกรรมที่ทางรีสอร์ตจัดไว้ให้เลือกตามใจชอบ โดยช่วงเช้านี้จะเป็นเวลาของมิเชเลอร์โดยเฉพาะ เป็นการเดินป่าแบบเล็กๆ ผจญภัยนิดหน่อย แล้วจบด้วยการปิคนิคแบบชาวฟินแลนด์ ส่วนช่วงบ่ายเป็นเดินป่าสำหรับผู้ใหญ่ ระยะทางไม่ไกลเกินไป พอทนสำหรับคนที่ต้องแบกลูกไว้ด้านหลัง ฮ่าๆๆ

นั่นคือแผนการสำหรับวันนี้ แต่พอตื่นเช้ามาก็ได้มีลุ้นซะแล้ว ว่าจะทำได้มั๊ย อากาศไม่เป็นใจซะเลย ฟ้าไม่แจ่มแถมยังมีละอองฝนพรำๆอีกด้วย ได้แต่ภาวนาอย่าให้ฝนลงหนักกว่านี้เลยนะ เปิดทีวีดูอากาศแล้วก็โล่งใจ ไม่มีฝนตกหนักเลยสบายใจว่างานนี้ไม่มีล้ม จัดการเพิ่มพลังให้กับร่างกาย จากนั้นก็ไปรอตามที่นัดหมาย เจอไกด์รอเราสามคนอยู่ก่อนแล้ว เป็นหนุ่มฟินน์หน้าละอ่อน ช่วยให้ทริปนี้ดูสดใส เอ๊ะเกี่ยวอะไรเนี่ย อ้อ ยังมีสาวน้อยชาวดัชท์ที่มาฝึกงานด้วยอีกหนึ่งคน นับไปนับมามีลูกทัวร์ทริปนี้เพียงครอบครัวเราเท่านั้น ก็บอกแล้วว่าเรามาช่วงที่เค้ายังไม่ปิดเทอม งานนี้จึงไม่ต้องเบียดเสียดกับใคร กลายเป็นว่าเรามีไกด์ส่วนตัวไปเลยดีเหมือนกัน

แนะนำตัวกันเสร็จสรรพ เราก็เริ่มทัวร์กัน เดินมุ่งหน้าไปยังจุดที่ทางรีสอร์ตสร้างไว้สำหรับให้เด็กๆได้ผจญภัยกัน ดูไปคล้ายๆกับการฝึกค่ายทหาร แต่เป็นที่ถูกอกถูกใจของมิเชลเลอร์มั่กๆ มีทั้งการเดินไต่เนินแบบเล็กๆ เดินไต่เชือก ปีนป่าย และโหนเชือกแบบทาร์ซาน เรียกว่ารอบเดียวไม่พอ มีร้องขอรอบสองรอบสามตามมาอีก ถึงตอนนี้ฝนที่โปรยพรำๆก็หายไปแล้ว ตรงตามคำทำนายดีแท้

มชล เริ่มผจญภัย




















จบจากผจญภัยแบบไม่อยากจะจากมาเล๊ย มีงอแงนิดหน่อย แต่ไกด์หนุ่มบอกว่า เดี๋ยวเราจะไปปิคนิคกันเท่านั้นแหละ สาวผมน้อยของเราก็กระดี๊กระด๊า เลิกงอแงทันที เดินตามหนุ่มไปต้อยๆ ไม่นานก็มาถึงที่ตั้งแคมป์กัน ตัวแคมป์ทำด้วยไม้รูปทรงหลี่ยมๆกลมๆแบบกระ โจม คล้ายๆกระโจมของชาวอินเดียนแดงนั่นแหละ ด้านในมีม้านั่งโดยรอบ ตรงกลางมีเตาผิง เอาไว้ก่อไฟให้ความอบอุ่นและทำอาหารไปในตัว ไกด์หนุ่มสาธิตวิธีจุดไฟให้ดู ไม่ต้องมีเชื้อ ไม่ต้องมีกระดาษหนังสือพิมพ์ก็ติดไฟง่ายมาก ใช้เอาท่อนฟืนท่อนใหญ่ๆนี่ล่ะ เอามีดพกติดตัวมาถากหรือขูดนี่ล่ะให้มันเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วก็จุดไฟ แค่นี้เองง่ายจริงๆ จากนั้นก็เอาไส้กรอกที่เตรียมมาให้เราจัดการปิ้งกันได้ แล้วก็บอกวิธีว่าให้วางไม้ปิ้งไว้ด้านข้างๆของเปลวไฟ จะสุกง่ายกว่าและไม่ไหม้ด้วย







ไกด์หนุ่มของ มชล


ระหว่างรอไส้กรอกสุก ไกด์ก็เล่าให้ฟังว่า ในป่าที่ฟินแลนด์จะมีกระท่อมหรือกระโจมแบบนี้ให้เห็นทั่วไป ภายในก็จะมีข้าวของแบบที่เราเห็นนี้ล่ะ ก็สร้างไว้สำหรับให้เป็นที่พักผ่อนเวลาเดินป่ากัน ใครจะเข้าไปใช้ก็ได้ แต่เมื่อจะจากไปก็ดูแลให้เรียบร้อยเหมือนเดิม โดยมาร ยาทก็ควรเอาฟืนมาเติมไว้ให้สำหรับคนที่จะผ่านมาต่อไปด้วย อีกเรื่องที่ทำเอาเราชักหวาดๆก็เรื่องหมีป่า เค้าบอกว่าเมื่อไม่กี่วันมานี้มีผู้ หญิงเข้าไปเดินป่าแล้วเจอหมีป่าเข้าโดยบังเอิญ แต่โชคดีไม่เป็นอะไร เพราะทั้งคนทั้งหมีไม่ได้คิดว่าจะมาเจอกัน หมีก็ตกใจเลยหนีเข้าป่าไป เราก็เลยถามว่า มีเยอะเลยเหรอ เจ้าหมีป่าเนี่ย แล้วบ่ายนี้เราจะเจอมันมั๊ยอ่ะ เค้าบอก ไม่เจอหรอกคร๊าบ เพราะเราไม่ได้เข้าป่าลึก เออ โล่งใจไปหน่อยตู พอไส้กรอกสุกเราก็จัดการกับมันจนไม่เหลือซาก อร่อยดี หรือว่าเพราะหิวก็ไม่รู้ เดี๋ยวเสร็จแล้วจะไปแวะซุปเปอร์ซื้อมากินอีก

ก็จบกิจกรรมช่วงเช้าไปด้วยความสนุกสนานของมิเชลเลอร์และความอร่อยของไส้กรอก มีเวลากลับมาพักที่บ้านได้อีกสองชั่วโมงก่อนที่จะไปเริ่มเดินกันต่อในช่วงบ่าย รายการนี้ไม่ต้องจ่ายตังเพราะรวมอยู่ในค่าที่พักแล้ว พอได้เวลาเราก็ไปรอกันที่นัดหมาย ทริปนี้มีลูกทัวร์สูงอายุมาร่วมเดินด้วยอีก 2 คู่ด้วยกัน แต่เห็นอย่างนี้อย่านึกว่าเค้าจะเดินไม่ไหวนะ สบายมาก เดินกันเก่งจริงๆ อย่าดูถูกผู้สูงอายุที่นี่เป็นอันขาดเชียว เพราะเค้าเดินกันจนเป็นนิสัยเลยเดินกันเก่งๆ เราต่างหากที่เหนื่อยเร็วกว่าเค้าซะอีก

เริ่มเดินช่วงแรกยังเป็นแค่ทางลาดเนินธรรมดา ช่วงนี้มิเชลเลอร์ยังเดินเองได้อยู่ ก็ปล่อยให้เค้าเดินเอง แม้จะช้าไปหน่อยแต่ก็ไม่เป็น ไร ไกด์หยุดรอเป็นระยะๆ เดินมาได้ซักพักก็เริ่มเข้าสู่ช่วงลาดชัน ตอนนี้ต้องจับมิเชลเลอร์ใส่เป้หลังบาร์ทไว้ แต่เจ้าตัวก็ทำท่าไม่ยอม จะเดินเอง กว่าจะยอมได้ก็หลอกล่ออยู่นาน ไม่อยากให้เดินเอง กลัวลื่นไหลตกลงไปจะแย่ อีกอย่างก็จะช้าเกินไป กลัวคนอื่นเสียเวลาด้วย แต่โชคดีที่คุณลุงคุณป้าทั้งสองคู่ไม่มีอาการเบื่อหน่าย เลยสบายใจ อ่ะพอถึงช่วงที่เป็นทางลาดชันลงเขา เธอก็ร้องอยากจะลงไปเดินเองมั่ง ก็ต้องปล่อยให้ไปลองดู โดยให้พ่อเค้าอยู่ข้างหน้า แล้วเราตามหลัง คอยระวังไว้ กะว่าเดี๋ยวเถอะ ล้มแล้วอย่ามาร้องนะอยากไม่เชื่อดีนัก แน่ะ ดูสิ มีแบบนี้ด้วย เอ๊ะเป็นแม่ยังไงเนี่ย ฮ่าๆ แต่ปรากฎว่าคุณเธอไม่ล้มค่ะ แถมเดินคล่อง มีหันมาบอกกับเราอีกด้วยแน่ะ ว่าดูซิหนูทำได้ น่านให้มันได้ยังนั้นสิ แล้วก็ท่าทางจะชอบไกด์หนุ่มมากเลย จะคุยกับเค้าตลอด ทั้งๆที่ฟังเค้าก็ไม่รู้เรื่อง ฮ่าๆก็เจ้าหนุ่มน่ะส่งภาษาปะกิดมาให้ แต่เธอก็บ่ยั่นเลยค่ะ อิอิ แต่ปรากฎว่าคนที่จะแย่เนี่ยกลับเป็นตัวเราเอง ก็แหม วันๆไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเอาซะเลย พอต้องเดินขึ้นเนินสูงลาดชันเข้าก็จะจอดเอาง่ายๆสิคะ เพื่อไม่ให้ขายขี้หน้าคุณลุงคุณป้าทั้งสองคู่ เราก็ควักยาเหลืองประจำกายออกมาสูดๆดมๆเข้าไป ก็เดินได้ต่อ เฮ้อ กะว่ากลับไปต้องฟิตร่างกายซะหน่อย จะได้ลุยต่อ แต่ก็เหมือนเดิมเจ้าเครื่องออกกำลังกายก็กลายเป็นที่ตากผ้าไปซะแระ ฮ่าๆ

เริ่มเดินป่า


สูงชันขึ้นเรื่อยๆ


จะว่าไปบรรยากาศเดินเที่ยวป่าคราวนี้แตกต่างไปจากครั้งที่ผ่านๆมาของเรา (ครั้งก่อนๆก็เดินกันไปเรื่อยๆ ดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยเปื่อย เหนื่อยก็พัก หากไม่รอตูก็เป็นมีเรื่อง ไม่เห็นเดินจูงมือชี้ชวนเหมือนในหนังเลยว่ะ)ก็ตรงที่มีไกด์หนุ่มนี่ล่ะค่ะ อ๊ายยยย ไม่ช่ายๆ ก็แค่มีอาหารตาทำให้มีกำลังใจเดินขึ้นอีกนี๊ดนึงน่า นั่นมันแค่น้ำจิ้ม การเดินเที่ยวครั้งนี้นอกจากจะได้รับความเพลิดเพลินแล้ว ยังได้ความรู้เกี่ยวกับพืชพรรณไม้ในป่าแทบนี้ไปด้วย ตรงนี้แหละที่มันต่างกับครั้งก่อนๆ

ป่าที่เราเดินกันนี้เป็นป่าสน แต่ละต้นก็สูงชะลูดราวกับจะแข่งขันกันว่าใครจะสูงที่สุด ( ช่วงที่เราไปนั้นคือต้นมิถุนา แม้เริ่มจะเข้าฤดูร้อนแล้วแต่อากาศก็ยังคงหนาวอยู่เล็กน้อย ) ส่วนพื้นดินด้านล่าง ก็ปล่อยให้เจ้าต้นบลูเบอร์รี่ครอบครองกันไป เจ้าบลูเบอร์รี่นี่เป็นผลไม้ลูกกลมๆเล็กๆสีแดงจัดจนออกดำทีเดียว มันมีจำนวนมากถึงมากที่สุด เรียกว่ามีที่ว่างตรงไหนเป็นต้องไปจับจองไว้อย่าให้เหลือที่ว่างได้เชียว ช่วงนี้กำลังออกดอกออกผล จะไปแก่และเก็บได้ก็ช่วงประมาณสิงหา - ตุลาโนนแน่ะ อย่างที่บอกว่ามันมีมากเหลือเกิน มีทุกทีมีทุกป่า ใครใคร่เก็บก็เก็บกันไปไม่มีใครว่า มีแรงเท่าไหร่ก็ขนกันไปได้เลย เนื่องจากมันมีมากซะเหลือเกินก็เลยมีเทศกาลแข่งกันเก็บเลยทีเดียวว่าใครจะเก็บได้มากที่สุด ยังนึกเสียดายว่าเราน่าจะมาเที่ยวในช่วงนั้น จะได้ไปเก็บกับเค้ามั่ง ไม่ได้หวังรางวัลหรอก แต่ชอบอ่ะ ชอบกินผลไม้สดๆจากต้น ยิ่งเก็บแล้วกินเดี๋ยวนั้นเลย ยิ่งชอบ ยังจำได้ว่าตอนไปนอร์เวย์เมื่อหลายปีก่อน ไปช่วงปลายกรกฎา-สิงหา เป็นช่วงที่เจ้าลูกราสเบอร์ลี่ (คล้ายๆสตรอเบอร์รี่ แต่ลูกเล็กกว่า นิ่มๆหยุ่นๆ ) สุกพอดี แล้วมันก็มีอยู่เต็มสองข้างทาง ไปทางไหนก็เจอ เราก็เดินแวะเก็บไปเรื่อย (ตอนนั้นยังไม่มีลูกมากวนใจ อิอิ)จนคนข้างๆงง นี่มันจะมาเที่ยวหรือว่ามาเก็บของกินกันแน่ แล้วมันก็บอกว่า อ่ะนี่เอาเงินไป ไปซื้อมากินให้จุกไปเลย อ่ะ แบบนี้มันก็ไม่ได้อารมณ์โว๊ย มันต้องเดินเก็บไปกินไปสิมันถึงจะอร่อยน่ะ






บลูเบอร์รี่สีดำ


นอกจากเจ้าต้นบลูเบอร์รี่แล้ว ก็ยังมีพืชจำพวกมอสอยู่มากมาย กระจายกันเป็นหย่อมๆ เป็นกลุ่มๆ บางชนิดก็มีลักษณะคล้ายๆฝอยขัดหม้อสีเขียวแห้งๆกระจายอยู่ทั่วไป บางชนิดก็เป็นต้นเล็กๆสีเขียวอ่อนขึ้นอยู่เป็นกลุ่มดูคล้ายกำมะหยี่ บางชนิดก็คล้ายกับปะการังในท้องทะเล บางชนิดก็มีรูปใบเป็นแฉกเล็กๆคล้ายดวงดาว มองดูเหมือนมีดาวดวงเล็กๆเกาะอยู่ตามพื้นดิน บางชนิดก็คล้ายต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงแต่เป็นขนาดจิ๋ว เรียกว่าแค่เดินก้มๆเงยๆดูเจ้าพืชพวกนี้ก็ไม่มีเบื่อเลย มิเชลเลอร์ก็ชอบ ชี้ชวนให้เราดูแล้วก็ถามโน่นนี่ไม่มีหยุด เราก็ตอบได้มั่งไม่ได้มั่ง มั่วๆไปมั่งให้ผ่านพ้นไปก็มี อ๊ายยยยย ใครจะไปตอบได้หมดอ่ะ คำถามของเด็กเล็กน่ะมันไม่มีสิ้นสุดซะทีนีนา












นอกจากเจ้ามอสนี่แล้ว (ไม่ใช่พี่มอสสามหนุ่มสามมุมนะ) ก็ยังมีเจ้าจอมปลวกยักษ์กระจายไปทั่ว แต่จริงๆมันคือมดต่างหาก เป็นมดสีส้มๆตัวไม่เล็กไม่ใหญ่เท่าเจ้ามดแดงตูดโด่งหรอก ถ้าไกด์ไม่บอกเราก็นึกว่าเป็นจอมปลวก ก็แหมมันเล่นไปเลียนแบบสร้างบ้านเหมือนเจ้าปลวกเค้านี่นา เออ สัตว์มันก็มีเลียนแบบกันด้วยนะนี่ นึกว่ามีแต่คนเท่านั้น ฮ่าๆ








สู่พื้นราบต้องเดินเองแล้วนะ


งานเลี้ยงย่อมมีการเลิกรา เดินป่าก็ต้องมีการสิ้นสิ้นสุด วุ๊ย มันเข้ากันยังไงเนี่ย แบบว่าอยากจบแต่หามุกจบไม่ลง ก็เลยขอยืมสำนวนเค้ามาใช้หน่อย ก็เป็นอันว่าการเดินป่าของเราก็สิ้นสุดสงด้วยความเพลิดเพลินจำเริญใจของผู้ร่วมทริปทุกคน ขอบและร่ำลาคุณไกด์หนุ่มแล้วก็แยกย้ายกันไปตามอัธยาศัย

กลับถึงที่พัก สองพ่อลูกลงไปเล่นน้ำในอ่างจากูซี่กันเป็นที่สนุกสนาน ส่วนเราก็หาเรื่องทำกิน วันนี้เมื่อยๆเหนื่อยๆ จริงๆขี้เกียจต่างหาก คิดว่าจะทำอะไรกินดีให้มันง่ายสุดๆ ไม่ต้องยุ่งยาก ก็เลยเอาไก่มาผัดกับผงปรุงรสคนอร์ไสตล์กรีก (อันนี้เตรียมมาจากบ้าน) ใส่หอมใหญ่กับพริกปาปริก้าสีแดงลงไป รสชาติก็เค็มๆมันๆกินกับข้าวสวยร้อนๆ ส่วนของเราก็มีแถมหน่อ เอาปลาแซลม่อนรมควันสำเร็จรูปจากซุปเปอร์ มาซอยหอมแดง บีบมะนาวลงไปตัดกับรสเค็มๆแค่นี้ก็อร่อยเหาะแล้ว เสียอย่างเดียวไม่มีพริกขี้หนูมาเพิ่มความจัดจ้าน ได้แค่นี้ก็หรูสุดแล้วเรา ฮ่าๆ

หน้าตาอาหารวันนี้


อิ่มหนำสำราญกันแล้วก็นั่งเล่นนอนเล่นกันเรื่อยเปื่อย พอส่ง มชล เข้านอนแล้ว เราก็มาเตรียมเก็บของ พรุ่งนี้เช้าเราจะออกจากที่นี่ มุ่งหน้าไปยังจุดต่อไปที่เมือง Sotkamo / Vuokattiซึ่งอยู่ตอนกลางของประเทศ

อืม กะว่าตอนนี้คงสั้นๆไม่มีไรมาก แต่ทำไมเขียนไปเขียนมามันยาวไปได้ก็ไม่รู้สิ งั้นจบมันดื้อๆแบบนี้ดีกว่า