04 November 2004

Rome

28/10/04 - 2/10/04

จริงๆแผนการเที่ยวโรมในครั้งนี้ ตั้งใจกันว่าจะไปตะลุยกรุงโรมกันแค่สองสาว เพื่อนโทรมาชวนไว้ดิบดีสุดท้ายเพื่อนไปไม่ได้ เลยต้องเอาตัวสำรองไปแทน ส่วนลูกเอาไปให้ปู่กะย่าเลี้ยง ดูท่าทางก็รู้ว่าเค้าเต็มใจมาก เพราะอยากให้หลานไปค้างด้วยอยู่แล้ว การไปโรมครั้งนี้เราไปแบบประหยัด เพราะงบท่องเที่ยวถูกใช้ไปตอนกลางปีแล้วจึงเหลือสำหรับทริปนี้อย่างน้อยนิด โชคดีมีเที่ยวบินจาก Eindhoven ไป โรม ของสายการบิน Ryanair เพิ่งเปิดเส้นทางได้ไม่นาน ดังนั้นราคาจึงถูกมาก สองคนไปกลับตก 120 ยูโรเท่านั้น เมื่อได้ตั๋วเครื่องบินแล้ว ก็จองที่พักเป็นแบบ Bed&Breakfast เลือกที่อยู่ใจกลางเมืองพอดี สะดวก ไม่ต้องพึ่งรถเมล์ให้ยุ่งยาก ตกคืนละ 100 ยูโร สำหรับสองคน

วันเดินทางมาถึง ย่ามารับหลานแล้วก็พาเราไปส่งสนามบิน จริงๆเราขึ้นรถเมล์ไปเองก็ได้ เพราะใกล้บ้านมาก แค่สองป้ายรถเมล์เอง แต่แกอยากไปโบกมือลาด้วย ก็เลยพาไปส่ง คิดว่ามิเชลเลอร์จะร้องตาม แต่ผิดคาดแฮะ ไม่ร้องเลย แถมท่าทางดีใจที่ย่ามาด้วยล่ะ สงสัยดีใจจะได้ไปเที่ยวกะย่าเหมือนกัน อิอิ

ได้ขึ้นเครื่องเป็นกลุ่มแรก เลยเลือกที่นั่งได้ตามสะบาย เลยเลือกด้านหน้าๆ ก่อนปีกเครื่องอะ แบบว่าเผื่ออยากถ่ายรูปพื้นดินจะได้ไม่มีอะไรมาบัง แต่ปรากฎว่าไม่ค่อยได้ถ่ายเท่าไร เพราะสภาพท้องฟ้าไม่แจ่มใส มีเมฆหมอกเยอะ ก็เลยไม่มีภาพสวยๆตอนขาไป ไม่เป็นไรรอขากลับละกัน ไปถึงสนามบินท้องถิ่นสี่โมงสิบห้า ฝนตกนิดหน่อย แต่แค่พรำๆ แป๊บเดียวก็หาย จากสนามบินมาต่อรถเมล์เพื่อไปขึ้นรถไฟใต้ดินไปยังที่พัก ไปลงที่สถานีที่ใกล้บันไดสเปน ซึ่งเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวต้องมาเยือน โอ้โห คนเยอะมากจริงๆ จากนั้นก็เดินอีกประมาณสิบนาทีก็ถึงที่พัก ที่พักเป็นอพาร์ทเมนท์ซึ่งเป็นตึกเก่าแก่ของเมือง ที่พักเราอยู่ชั้นสี่ เจ้าของบ้านอยู่ชั้นสาม ห้องพักน่ารักดี มีห้องครัว ห้องน้ำแบบง่ายๆ แล้วก็มีเทอราสเล็กๆ แต่เค้าก็แต่งได้น่ารักดี เจ้าของบ้านก็ใช้ครัวด้วย แต่เราไม่เห็นเค้ามาทำอาหารตอนเราอยู่เลย (หรือใช้ก็ไม่รู้ เพราะกว่าเราจะกลับเข้าบ้านก็สามสี่ทุ่มแล้วล่ะ) เรียกว่าเป็นส่วนตัวดีเหมือนกัน



หลังจากเอาของเก็บแล้ว เราก็ออกมาเดินหาอะไรกินกัน นักท่องเที่ยวเยอะแยะไปหมดเลย เราเดินไปที่ Piazza Navona แล้วก็กินอาหารที่นั่น นักท่องเที่ยวเยอะแยะ ถ่ายรูปเต็มไปหมด เราสั่งสปาเกตตี้เป็นจานแรก แล้วตามด้วย ปลานึง กับมันฝรั่ง รสชาดจืดๆ ไม่อร่อย เลยแลกกับบาร์ทซึ่งสั่งไก่อบกับมันฝรั่งทอดมากิน กินอิ่มแล้วก็พากันเดินเที่ยว ไปยังสะพานที่จะไปยังโบถส์เซนปีเตอร์ เพื่อไปถ่ายรูปโบถส์ในยามค่ำคืน ซึ่งก็ได้ภาพสวยสมใจ คล้ายๆกับโปสการ์ดเลย ได้ภาพสมใจแล้วก็ชวนกันกลับที่พัก เพราะจะได้เก็บแรงไว้เที่ยววันพรุ่งนี้ให้เต็มที่ เพราะดูแล้วคงต้องเดินทั้งวัน ซึ่งการมาเที่ยวโรมนั้น ถ้าจะให้ทั่วถึงต้องเดินเท้าเท่านั้น เพราะสถานที่สำคัญแต่ละแห่งจะอยู่ไม่ไกลกันมากนัก จะขึ้นรถเมล์ก็ได้ แต่ว่ารถเยอะ แล้วก็รถติดด้วย ดังนั้นเดินคงดีกว่า ส่วนเด็กเล็กก็ไม่ควรเอาไปด้วย เพราะจะเที่ยวไม่ทั่ว และบางทีก็ลำบากที่จะเอาเด็กไปด้วย กลับถึงที่พัก อาบน้ำเสร็จก็มาดูเส้นทางที่จะต้องเดินเที่ยวพรุ่งนี้ว่าจะต้องเดินอย่างไร จะได้ไม่เสียเวลาเดินวนไปวนมา จากนั้นก็เข้านอน แต่ปรากฎว่าเราดันนอนไม่ค่อยหลับ สาเหตุคงเพราะมันเป็นตึกเก่า แล้วเราก็ไม่เห็นทางหนีไฟ หากเกิดไฟไหม้คงแย่แน่ เพราะมีทางลงทางเดียว แล้วเราก้อยู่ชั้นสี่ด้วย ทีสำคัญหากจะออกจากตึกนั้น ต้องไขกุญแจประตูด้วย ถ้าไฟไหม้แล้วตกใจหากุญแจไม่เจอเสร็จเลย ต้องติดแหงก เช้านั้นตื่นมาก็เลยเพลียๆ

โบถส์เซนต์ปีเตอร์ตอนกลางคืน

เช้าวันแรกที่โรม



เราตื่นประมาณเจ็ดโมงครึ่ง เจ้าของบ้านมาเตรียมอาหารเช้าเกือบๆแปดโมง ตรงเวลาดีจัง ก็เป็นอาหารเช้าง่ายๆ ขมมปังกรอบ แยม แล้วก็ครัวซองร้อนๆอีกคนละชิ้น น้ำชากาแฟ พร้อม จัดการอาหารเช้าเสร็จ ก็เริ่มออกทัวร์ตอนเก้าโมงเช้า วันนี้เราตั้งใจจะไปนครวาติกัน และพิพิธภัณฑ์วาติกัน ซึ่งอ่านจากหนังสือท่องเที่ยวแล้ว เค้าบอกว่าเฉพาะพิพิธภัณฑ์นั้นถ้าจะดูให้ทั่วถึงจริงๆ ต้องใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์ เราเลยจัดโปรแกรมวันนี้แค่หนึ่งเส้นทางก่อน

เริ่มเดินไปทางสะพานเมื่อคืนนี้ที่ถ่ายรูปโบถส์มา สุดปลายสะพานก็จะมีอาคารใหญ่โตตั้งตระหง่านอยู่ ซึ่งถามหัวหน้าทัวร์แล้ว ได้ความว่าเป็นอาคารกระทรวงยุติธรรม ไม่รู้แปลถูกป่าว (Paleis van Justitie) ตามธรรมเนียมต้องถ่ายรูปอยู่แล้ว จากนั้นผ่าน ปราสาทแองเจิลโล (Castel Sant’Angelo)ปัจจุบันเป็นที่ตั้ง พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ จากนั้นก็เดินมุ่งหน้าสู่นครวาติกัน เห็นโบสถ์เซนปีเตอร์ตั้งตระหง่านอยู่อย่างสง่างาม และเมื่อไปถึงก็สังเกตว่ามีผู้คนมารอแยู่แล้วอย่างแน่นผิดปกติ มีแท่นพิธีอยู่หน้าโบสถ์ สอบถามยามก็ได้ความว่าวันนี้พระสันตะปาปาจะออกมาทำพิธี ช่วงเช้านี้เราเลยเข้าไปในโบสถ์ไม่ได้ ก็รีๆรอๆเผื่อจะได้เห็นตัวจริงอยู่สักพักใหญ่ ก็ได้เป็นท่านนั่งรถวนไปรอบทางที่จัดไว้าเพื่อให้ประชาชนได้ชื่นชมในบารมี (ไม่รู้ใช้คำถูกป่าว) แต่ก็ไม่ได้อยู่ฟังจนจบหรอก เพราะเราไม่ใช่คริสต์ ก็เลยเดินต่อไปเพื่อเข้าชมพิพิธภัณฑ์วาติกัน ซึ่งในนี้จะมีสิ่งที่สำคัญที่พลาดไม่ได้ นั่นคือ The Sistine Chapel ซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาในราชวัง ซึ่งมีภาพวาดที่มีชื่อเสียงและได้รับการกล่าวถึงมากที่สุด มีชื่อว่า The Last Judgement ที่วาดโดย ไมเคิล แองเจลโล


โบสถ์เซนปีเตอร์ ถ่ายจากสะพานมุมเดียวกับเมื่อคืนนี้

อาคารกระทรวงยุติธรรม

ระหว่างทางเดินไปนครวาติกันน้น เราจะเห็นทางที่ใช้เป็นทางหนีของพระสันตะปาปา หากเกิดเหตุการณ์ร้ายจ้ะ ซึ่งจะเชื่อมจากโบสถ์ไปถึงปราสาทแองเจลโล


ผู้นำทัวร์ส่วนตัว


อันนี้ภาพถ่ายจากด้านบนจ้ะ ลากสังขารขึ้นบันไดไป 300 กว่าขั้นจ้ะแต่คุ้มได้ภาพจากโปสการ์ดอีกแระ (อันนี้กลับมารอบเย็น ถึงได้เข้าไปชมข้างในและขึ้นไปยอดโบสถ์)



รูปนักบุญทั้งหลายที่อยู่ด้านบน


มาดูด้านนอกก่อนแล้วกัน เด๋วค่อยพากลับเข้าไปข้างในใหม่





ตากล้องมือฉมัง

ไหนเลยจะขาดรูปนางแบบไปได้


ตอนนี้เราจะเข้าไปดูภายในโบสถ์กัน เราได้เข้าไปดูในวันที่สามของการเดินทาง เพราะวันแรกมีพิธีเลยอดเข้าไป แต่เอามาให้ดูก่อนจะได้ต่อเนื่องกัน
ข้างนอกมองแล้วก็ยิ่งใหญ่ ใหญ่โตมโหราร เข้าไปข้างในยิ่งตะลึงในความงาม เต็มไปด้วยภาพวาดประดับผนังที่ใหญ่โตจริง แล้วก็สวยมากๆด้วย ไม่รู้จะบรรยายยังไงดี ต้องไปเห็นด้วยตาตัวเอง อยากถ่ายรูปเพื่อให้เห็นภาพรวมเลยว่ามันใหญ่แค่ไหน แต่ก็ทำไม่ได้ เพระว่ากล้องมันเก็บไม่หมด เลยต้องเก็บมาเป็นส่วนๆไป

ก่อนเข้าตัวอาคารต้องผ่านเครื่องตรวจอาวุธก่อน นี่ผู้คุ้มกันโบสถ์ หล่อมากกกกกกก เสียดายไม่เห็นหน้าชัดๆ ผู้ชายอิตาลีนี่หล่อๆทั้งนั้นเลย

บรรยากาสภายในโบสถ์ ตอนนี้ประมาณ ห้าโมงเย็นได้ คนเลยบางตา เพราะตอนเราเข้าไปช่วงสี่โมงเย็นคนยังเยอะอยู่มากกกกกกกกก เรียกว่าถ่ายภาพแบบนี้มาคงเห็นแต่หัวคนอ่ะ พอดีเราขึ้นบันไดไปบนยอดโบสถ์ก่อนอ่ะ เลยโชคดีได้ภาพนี้มา

ทึ่งในความสามารถของคนสมัยก่อนจริงๆ ไม่รู้สร้างได้ไง



เก็บภาพกับรูปปั้น ที่จะมีให้เห็นมากมาย


นี่รูปปั้นใครก็ไม่รู้อ่ะ ฝามีบอกแต่ลืมไปแระ(คิดว่าคนนับถือคริตส์คงจะรู้อ่ะ) ตอนเข้ามาช่วงแรก คนเยอะมากเลย รอคิวเพื่อจะมาสัมผัสและถ่ายรูปอ่ะ แต่ตอนนี้ สบายไม่ต้องรอคิว เค้ากลับกันเกือบหมดแล้ว


อันนี้บรรลังก์อะไรก็ไม่รู้ แต่ข้างใต้จะมีที่เก็บร่างของพระเยซูหรือของพระสันตะปาปาคนก่อนก็จำไม่ได้แล้วอ่ะ ผู้นำทัวร์ขึ้นไปข้างบนแล้วล่ะ ไม่มีไผให้ถาม

อันนี้แหละจ้ะ ด้านล่างอ่ะ ภาพไม่ค่อยชัดจ้ะ ถ่ายได้แค่เนี้ยเพราะอยู่ไกล เค้าจะมีที่กั้นไว้ไม่ให้เข้าไป

อันนี้ด้านหลังสุด มีเก้าอี้ไว้สำหรับผู้เข้าร่วมพิธีด้วย

นี้ด้านบนส่วนที่เป็นโดมจ้ะ แต่อยู่ข้างใน มีทางเดินแคบๆแล้วก็กรงกั้นไว้สูงเชียว กันคนตกมั้ง อิอิ จริงๆมองลงมาก็เสียวนะ คิดว่าถ้าคนขึ้นมาเยอะๆอ่ะ มันจะพังมั้ยเนี่ย








พิพิธภัณฑ์วาติกัน



พิพิธภัณฑ์นี้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในกรุงโรม มีห้องต่างๆถึง 300 ห้อง ซึ่งมีศิลปวัถุโบราณต่างแสดงให้ดูมากมาย ทั้งรูปปั้นต่างๆ ภาพวาด ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับเหตูการณืเกี่ยวกับศาสนาคริตส์ ส่วนรูปปั้นก็จะป็นรูปปั้นชายเปลือยเยอะมาก สังเกตดูให้จู๋ส่วนใหญ่จะหายไปอ่ะ อันนี้ไม่ได้ทะลึ่งนะ แต่หลายๆอันเชียว ทำไมมันต้องมาแตกหักตรงนั้นอ่ะ ไม่ได้ถ่ายรูปมาอ่ะ กัวปั๋วหาว่าทะลึ่ง อิอิ ใครอยากเห็นต้องไปชมเอง

นอกจากนั้นก็ยังมีส่วนที่จัดแสดงเกี่ยวกับอียิปต์ด้วย ก็มีมัมมี มีข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ และที่สำคัยคือ The Sistine Chapel เป็นห้องที่ใช้เลือกตั้งพระสันตปาปา(หากข้อมูลผิดพลาด ต้องขออภัยด้วยจ้า แบบว่า ภาษาไม่แข็งแรงจ้ะ) ภายในนั้นจะมีภาพวาดที่มีชื่อเสียงก้องโลก ของ ไมเคิลแองเจลโล ชื่อ The last Judment ซึ่งสวยงามมากกกกกกกกกกกกก และน่าทึ่งมากว่าทำได้ยังไง เพราะเป็นภาพที่เขียนบนเพดาน ซึ่งต้องแหงนคอเขียนอ่ะ

ภาพด้านล่างนี้เป็นทางเดินยาวๆ เพื่อไปสู่ห้องสำคัญนั้นแหละ โดยระหว่างทางก็จะมีภาพเขียนที่ผนัง รวมถึงภาพเขีบนบนผ้า ซึ่งขนาดใหญ่โตมาก เรียกว่าตลอดทางนั้นไม่เบื่อเลย เพราะมีแต่งานศิลปะเต็ไม่หมด เสียดายเราเข้าไปเที่ยงแล้ว คนเยอะมาก ถ้าไม่มีคนถ่ายภาพออกมาคงจะสวยมากกว่านี้








ตามผนังด้านข้าง จะมีภาพวาดไปตลอดเลย รวมทั้งด้านบนด้วย










มาถึงห้องที่สำคัญ ห้องนี้ห้ามถ่ายรูป ห้ามส่งเสียงดัง นัยว่าจะทำให้ภาพเสียหายได้ แต่ก็ยังมีเสียงอยู่ดีแหละ แหมคนล้านแปดได้ แค่กระซิบกันมันก็หึ่งได้อ่ะ แล้วยังมีคนแอบถ่ายภาพนะ แต่พอแสงแว่บเท่านั้นแหละ การ์ดก็ทำเสียงเตือนแบบแข็งกร้าวเลย แล้วต้องบอกให้เงียบเป็นระยะๆด้วย


ภาพโดยรวมของ The Sistine Chapel ทั้งห้อง

จริงๆแล้วห้องนี้วาดด้วยจิตกรเอกมากมาย แต่ที่สำคัญๆมี Michelangelo, Botticelli แล้วก็ Perugino ซึ่งสองคนหลังนี้ก็จะวาดภาพที่อยู่ตามผนังด้านข้าง ส่วนเพดาน แลภาพด้านหน้า และภาพที่ผนังด้านข้างบางส่วนนั้นเป็นฝีมือของ ไมเคิลแองเจลโล ใช้เวลาวาดถึงสี่ปี

ภาพเพดานด้านบน ซึ่งจะเป็นรูปโค้ง และภาพที่วาดนั้นก็เป็นแบบสามมิติ มองดูแล้วเหมือนภาพแต่ละคนล่องลอยอยู่อ่ะ งามแท้ๆๆเลย

The Ceiling

ภาพผนังด้านต่างๆนั้นก็สวยงามมาก แต่ว่าไม่กล้าเอารูปมาลงมาก กลัวโดนฟ้อง เพราะเค้าห้ามถ่ายภาพ ต้องซื้อน่ะ


The Last Judgment

จบเรื่องโบสถ์และพิพิธภัณฑ์วาติกันแล้ว แต่การเดินทัวร์วันแรกยังไม่จบเลยจ้ะ บอกแล้วว่าเดินทั้งวันตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงสี่ทุ่มอ่ะ วันแรกเราเดินกันสองเส้นทางเลย แบบว่าอยากดูให้ได้มากที่สุดอ่ะ เพราะไม่รู้เมื่อไหร่จะได้กลับไปอีก

ส่งท้ายก่อนออกจาพิพิธภัณฑ์นิดนึงว่าได้ว่ามาถึงอิตาลีแน่นอนแล้ว เพราะว่าที่นี่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อว่าอันตรายจากการชกชิงวิ่งราวนักท่องเที่ยวมากที่สุด แต่โชคดีว่าเราปลอดภัยดีไม่มีเรื่องร้าย แต่อีกเรื่องที่ไม่ได้ระวังคือ การรับเงินทอนจากการซื้อของอ่ะ คือให้ระวังเงินทอนจะได้ไม่ครบ ถ้าเราไม่ได้ดูตอนรับเงินทอนมา แล้วเดินออกมานิดนึงแล้วถึงรู้ตัว จะไปทวงไม่มีทางได้คืนอยู่แล้ว เราเจอสองครั้งติดกันเลย โดยไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้ เพราะไม่ได้เกิดตามร้านค้าทั่วไปข้างถนน แต่เกิดที่พิพิธภัณฑ์นี่แหละ ค่าเข้าชมคนละ 12 ยูโร สองคนก็เป็น 24 ยูโร เราให้แบงค์ห้าสิบ เงินทอนต้องเป็น 26 ยูโร แต่พนักงานทอนให้เรา 25 ยูโร เค้าทำเหมือนทอนมาถูกต้อง ไม่มีพิรุธไรเลย เราก็รับมาโดยไม่ได้ตรวจ เดินไปได้สักพักเพิ่งนึกขึ้นได้ แต่ก็ไม่ได้กลับไปทวง คิดว่าเค้าคงลืมแล้วก็ความไม่ระวังของเราด้วย เลยช่างมัน

อีกครั้งหลังจากชมเสร็จแล้ว ก็มีมุมต่างๆในนั้นแหละให้เลือกซื้อของที่ระลึก เราก็เลือกโปสการ์ดนี่แหละ ราคา 4 ยูโร จ่ายแบงค์ห้าให้เค้า แต่เค้าไม่รับอ่ะ บอกมันเก่ามาก เราบอกใช้ได้สิ เพราะว่าเนี่ยเป็นเงินทอนจากที่นี่แหละ ยังไงมันก้ไม่รับ เราขี้เกียจรำคาญเลยควักแบงค์ยี่สิบส่งไปให้ เหมือนเดิม ได้เงินทอน 15 แทนที่จะเป็น 16 ก็เพราะนิสัยเสียไม่ได้ตรวจนี่แหละ ก็มานึกเอ๊ะยังไงวะ ทำไมเป็นแบบนี้วะ มันปัดเศษกันเหรอวะ ก็บอกฝามี มันดันบอกเราว่าทำไมไม่ระวังที่นี่มันขึ้นชื่อเรื่องนี้อ่ะ ในหนังสือก็มีบอก(ก็ดันอ่านผ่านนี่หว่า) เราบอก ทำไมไม่บอกก่อนวะ ก็มัวแต่ระวังเรื่องล้วงกระเป๋าอ่ะ ตกลงเสียไป 2 ยูโร คราวหลังให้ปั๋วจ่ายตังแล้วกัน กรูตกเลข เด๋วคิดไม่ทันโดนโกงอีก

ก็เป็นสิ่งควรระวัง สำหรับใครที่จะไปคราวหน้ากันนะจ้ะ

Fontan di Trevi น้ำพุที่มีชื่อเสียงของโรม

เส้นทางเดินเที่ยวเส้นแรกจบไปแล้วจ้ะ มาต่อเส้นที่สองนะจ้ะ ซึ่งยังคงอยู่ในวันเดียวกันอยู่จ้ะ เส้นนี้จะเรียกว่าเป็นสถานที่พบปะสังสรรค์ของชาวอิตาเลี่ยน เริ่มต้นกันที่ Piazza Navona - Pantheon_ Fontan di Trevi - Piazza di Spagna - S. Maria d. Popolo (piazza แปลว่า สถานที่จ้ะ ภาษาอังกฤษก็ public square )


ภาพนี้ Piazza Navona จะมีน้ำพุอยู่สองอันจ้ะ ด้านข้างขวามือเป็นโบสถ์ชื่อ Sant'Agona แต่ไม่ได้เข้าไปข้างในจ้ะ เพราะกำลังซ่อมแซม





รอตั้งนานอ่ะ กะจะเอาภาพเดี่ยวซักหน่อย แต่หล่อนก็ไม่ยอมย้ายก้นไปไหนซะที ขี้เกียจรอแระ เด๋วฝูงชนก็มากันอีก ไม่ได้ถ่ายพอดี

จากที่นี่เราเดินต่อไปที่ Pantheon สร้างขึ้นเมื่อ 27 ปีก่อนคริสตกาลโดย Marcus Agrippa สำหรับสถานที่นี้ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่เมื่องช่วงต้นศตวรรษที่ 2 สิ่งที่น่าทึ่งสำหรับสถานที่นี้คือ การออกแบบอาคารให้มีความกว้าง 142 ฟุต และสูง 142 ฟุต เช่นกัน ประตูทางเข้าโลหะสีทองบรอนซ์ที่มีน้ำหนัดถึง 20 ตัน และจุดเด่นที่น่าสนใจอีกอย่างคือ การออกแบบโดมด้านบนของอาคารทำได้อย่างน่าอัศจรรยื ซึ่งไมเคิลแองเจลโล ได้ทำการศึกษาสถาปัตยกรรมของโดมแห่งนี้ก่อนที่เขาจะออกแบบหลังคาโดมของโบสถ์เซนต์ปีเตอร์


ด้านหน้าของอาคาร

ภาพนี้ด้านหลัง

ด้านใน หลังคารูปโค้ง ที่แสงส่องลงมาได้จ้ะ อีกครึ่งนึงกำลังซ่อมแซมอ้อ ลืมบอกไปว่า เสาที่เห็นด้านหน้าตัวอาคารน่ะ ของจริงใหญ่มากๆๆ สองคนโอบเลยล่ะ

ด้านใน Pantheon

จากนี้เดินต่อไปที่น้ำพุเทรวี่ที่มีชื่อเสียงที่สุดของกรุงโรม The Trevi Fontain ซึ่งน้ำพุแห่งนี้เริ่มเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงจากภาพยนตร์เรื่อง Three Coins in the Fountain ที่แสดงโดยคลาวเยว ชิฟเฟอร์ ในปี 1995

น้ำพุแห่งนี้ออกแบบโดยสถาปนิก Francesco Salvi ซึ่งน้ำพุนี้มีความกว้างถึง 20 เมตร สูง 26 เมตร ส่วนกลางขอน้ำพุมีรูปปั้นของเทพเจ้าเนปจูน ขี่รถม้าติดปีก แสดงถึงความมีสุขภาพที่แข็งแรง และความอุดมสมบูรณ์ของอาณาจักร และมีความเชื่อว่าถ้าโยนเหรียญ 1 เหรียญลงไปในสระ จะได้กลับมาเยือนกรุงโรมอีกครั้งนึง แล้วมีหรือที่ข้อยจะพลาด สองรอบค่ะ อ้อ ต้องมีวิธีโยนด้วยนะ ยืนหันหลังแล้วถือเหรียญด้วยมือซ้ายโยนข้าไหล่ขวาจ้ะ จึงจะถูกวิธี ใครมีโอกาสไปอย่าลืมนะ จะได้กลับไปอีก


ภาพนี้ชอบมาก กว่าจะหลบคนล้านแปดไม่ให้มันเข้ามาในกล้องได้อ่ะ แต่เสียดายไม่เต็มขาดยอดบนไปนิดนึง







โอ๊ะๆๆ ลืมภาพคนสวยไปได้ไงเนี่ย

จากน้ำพุเดินต่อไปอีก จะไป Paizza di Spagna หรือที่เรียกว่า บันไดเสปน


จตุรัสแห่งนี้ถูกเรียกชื่อตามสถานฑูตสเปน ซึ่งตั้งอยู่บริฌวณนั้นเอง บันไดแห่งนี้ได้รับการออกแบบโดยสถาปิกชาวอิตาลีชื่อ Francesco de Sanctis เริ่มสร้างปี ค.ศ. 1723 เสร็จในปี 1725 สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งของหนุ่มสาว (แบบข้อยนี่แหละ อิอิ ห้ามเบ้หน้าเด้อ) ผู้คนชอบที่จะมานั่งเรียงรายบนบันไดแห่งนี้ และที่แห่งนี้ยังเป็นแหล่งชอปปิ้งที่มีชื่อเสียงมากสำหรับผู้ที่ชอบสินค้าแบรนด์เนมทั้งหลาย ถ้าขึ้นไปนั่งบนบันไดแล้วมองลงมา ถนนเส้นตรงหน้านั้นแหละจ้ะ ลุยไปได้เลย ที่พักของเราก็อยู่สุดถนนนี้แหละ

น้ำพุเล็กหน้าบันไดสเปน

จากนั้นเดินขึ้นบันไดต่อไป เพื่อขึ้นไปชมทิวทัศน์กันต่อ ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายของทัวร์เส้นนี้จ้ะ คือ S. Maria d. Popolo ภาพนี้ถ่ายจากด้านบนที่เราขึ้นบันไดไปจ้ะ

เห็นผู้นำทัวร์ป่าว ยืนเสื้อเหลืองอยู่นั่นอ่ะ

เป็นอันว่าจบทัวร์สำหรับการเดินทางวันนี้ เดินเที่ยวกันจนเมื่อยล้าแล้ว จากนั้นก็ต้องหาอะไรใส่ท้องเพื่อเอาแรงเดินต่อไปในวันพรุ่งนี้ จากจุดนี้เดินไปก็จะเป็นถนนที่เป็นแหล่งชอปปิ้งอีกย่านนึง ชมอย่างเดียวจ้ะ มะได้ซื้อ ใจจดจ่อกับหาที่กินข้าวมากกว่า วันนี้กินอาหารจีนกัน เบื่อสปาเกตตี้แล้วอ่ะ ร้านอาหารต่างชาติที่อิตาลีไม่ค่อยมีอ่ะ หายาก ร้านจีนที่ไปกิน ก็ไม่แพงเท่าไหร่ เสิร์ฟแบบไทยๆอ่ะ หมายถึงอะไรเสร็จก่อนก็มา ไม่ได้มาเป็นชุดๆแบบยุโรปอ่ะ

กินเสร็จแล้ว ยังไม่ดึก เดินย่อยอาหารกลับไปที่น้ำพุเทรวี่อีก เพื่อจะถ่ายรูปตอนกลางคืนอ่ะ เดินไกลเหมือนกัน แต่เพื่อภาพสวยๆ ยอมฮ่ะ อีกอย่างคิดว่าคนคงจะซาๆลงมั่งแล้ว เพราะเกือบสี่ทุ่มแล้ว คงยังอยู่ร้านอาหารกัน แต่ที่ไหนได้ ไปถึงยังแน่นเหมือนเดิม ถ้าอยากได้ภาพสวยโดยไม่มีคน คงต้องมาแต่เช้าตรู่แน่เลย

ต้องปีนขอบขึ้นไปเพื่อจะได้ไม่ติดคนอ่ะ

ภาพสุดท้ายสำหรับคืนนี้จ้ะ ต้องยอมแพ้ฝูงชนทั้งหลาย กลับไปนอนเอาแรงไว้เดินวันต่อไป

The Forum and The Colosseum

วันนี้วันที่สามของการเดินทางแล้วจ้ะ ตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวเดินอีกแล้ว วันนี้รายการสำคัญคือ จะไปดู The Forum แล้วก็ The Colosseum จ้ะ


เริ่มออกเดินจากที่พัก ได้สักพัก ก็จะเห็นซากเมืองแบบนี้อ่ะ ตอนนี้กลายเป็นที่อยู่ของแมวไปซะแล้ว

เดินมาถึง Monument of Victor Emanuel ข้างในเป็นพิพิธภัณฑ์ แต่ไม่ได้เข้าไป

ที่หมายของเราจะอยู่ด้านข้างถัดไปซึ่งก็คือ Palazzo Venezia and museum เดินขึ้นเนินไปหน่อย

ขึ้นมาถึงข้างบน ตรงกลางจะมีรูปปั้น(ใครไม่รู้ ลืมแระ) ตั้งตระหง่านมีตึกยาวสองข้างขนาบนั้นเป็นพิพิธภัณฑ์ Capitolini

ตอนแรกว่าจะไม่เข้าไปในพิพิธภัณฑ์อ่ะ แต่ว่าดันปวดฉี่มากๆ หาห้องน้ำไม่ได้ เลยยอมเสียเงินเข้าไปคนละ 7.5 ยูโรแน่ะ ฉี่ครั้งนี้แพงมากกกกก แต่ก็คุ้มได้ถ่ายภาพ Forum จากมุมสูง สวยดี




ข้างในจะมีรูปปั้นเยอะแยะเต็มไปหมด ทั้งของจักรพรรดิ นักรบต่างๆเต็มไปหมด

เจาะลึกทีนมาเลย ก๊ากกกกกกกกกก

คนนี้ขอแอ๊คท่าด้วยคน

The Forum ถ่ายจากพิพิธภัณฑ์ สถานที่นี้ในอดีตเป็นศูนย์กลางย่านการค้า การเมือง และศาสนาของกรุงโรม ถูกสร้างมาแล้วไม่ต่ำกว่า 900 ปี เมื่อยุคจักรวรรดิแห่งโรมเสื่อมลง สถานที่แห่งนี้ไม่ได้รับการซ่อมแซม ถูปล่อยให้อาคารต่างๆแตกหักและพังลงมา



รายละเอียดซุ้มประตู Septimius Severus

จาก The Forum เดินต่อไปทางด้านหลัง ก็จะถึง Colosseum สิ่งมหัศจรรย์ของโลกแห่งนี้ เริ่มสร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 72 ใช้เวลาก่อสร้างเพียง 8 ปี โดยใช้นักโทษชาวยิว 12000 คน แล้วเสร็จในสมัยของ Titus บุตรชายของจักรพรรดิ์ Vespasian โดย Colosseum แห่งนี้ได้รับการย่อย่องให้เป็นมรดกของชาวโรมันโบราณ เด่นในแง่สถาปัตยกรรม และความยิ่งใหญา สามารถจุคนได้ถึง 50000คน สถานที่แห่งนี้เป็นที่ที่ฝูงชนมาชมการแสดงการต่อสู้กันอย่างเลือดเย็น ไม่ว่าระหว่างนักสู้กับสัตว์ดุร้าย หรือระหว่างนักสู้ด้วยกันเอง การต่อสู้แบบนี้ได้รับความนิยมมากในสมัยนั้น แม้แต่จักรพรรดิ์ Commodus ผู้มีชื่อเสียงในเรื่องการต่อสู้ ยังเคยลงแข่งขันด้วย โดยเล่ากันว่า บางครั้งพระองค์ชอบที่จะสวมใส่หนังสิงห์โต เพื่อเลียนแบบให้เหมือนกับเฮอร์คิวลิส

สำหรับ Coloseeum ที่เห็นในปัจจุบันนั้นไม่ใช่แบบดั้งเดิม เนื่องจากในช่วงศตวรรตที่ 8 นั้น พระสันตะปาปา พอลล์ ที่ 3 ได้อนุญาติให้หลานชายของพระองค์ทำการสกัดหินจากสนามต่อสู้แห่งนี้ เพื่อนำไปใช้ก่อสร้างวังของตนเอง และยังได้อนุญาตให้ คารดินัล สามารถขนวัสดุ หรือแม้แต่หินก้อนต่างๆ ออกไปใช้มากเท่าไหร่ก็ได้ไม่จำกัด เพียงแต่ให้เสร็จภายใน 12 ชั่วโมง แต่ยังโชคดีที่ยังเหลือเป็นรูปร่างให้เราได้เห็นจนถึงปัจจุบันนี้



เข้าไปดูข้างในกันนะ

ข้างล่างเป็นทางเดินของสัตว์ที่ปล่อยเข้ามาต่อสู้กัน

ซุ้มประตู Constantijn อยู่ด้านข้าง Colosseum คล้ายๆประตูชัยที่ปารีสเลย

จบเส้นเดินเที่ยวนี้แล้ว ยังเหลือเวลาอีก เราเลยย้อนกลับไปดูข้างในโบสถ์เซนปีเตอร์กัน เพราะวันแรกเค้ามีพิธีกันเราเลยไม่ได้เข้า ซึ่งก็เอาภาพไปให้ดูแล้วก่อนหน้านี่ ก่อนไปแวะหาเสบียงก่อน แวะซื้อแอปเปิ้ล ลูกละ 1 ยูโรอ่ะ แพงอิบอ๋าย แต่ก็ซื้อ

เที่ยวในโรมนี่ดีอย่าง ไม่ต้องเช่ารถจ้ะ ถ้าขี้เกียจเดินก็ขึ้นรถเมล์ หรือรถใต้ดินเอา แต่ว่าเดินอ่ะดีที่สุด เพราะที่เราไปดูมันก็ไม่ได้ไกลกันเท่าไหร่ (แต่ก็เดินเหนื่อยล่ะ) อีกอย่างรถมันเยอะจริงๆ รวมทั้งรถรถมอไซด์แบบเวสป้าอ่ะ (แต่เด๋วนี้เค้าทำจ๊าบอ่ะ) จะจอดรถลำบากมากๆเลย แล้วสังเกตุดูนะ รถส่วนใหญ่มันจะคันเล็กๆทั้งนั้น แถมมันจอดบั้นท้ายติดกันเป็นพรืดเลย บั้นท้ายแต่ละคนเงี้ยมีรอยจูบเกือบทั้งนั้นแหละ แต่ว่าเค้าคงไม่สนใจกันมั้ง คือเค้าใช้รถจริงๆ ไม่ได้มีรถไว้โชว์อ่ะ


ภาพนี้หลังจากไปเข้าโบสถ์มาแล้ว เหนื่อยเลยอ่ะ ปีนขึ้นข้างบนด้วย สามร้อยกว่าขั้น ไปหาข้าวกินดีกว่า ด้วยที่ว่ามันเพิ่งจะหกโมงเองง่ะ ร้านมันยังไม่เปิด เลยต้องเดินเล่นไปเรื่อยๆ จะไปกินร้านที่ในหนังสือแนะนำไว้ อุสาห์เดินไปตั้งไกล ปรากฎว่าร้านไม่เปิด(เป็นร้านที่ไม่ได้อยู่ในแหล่งนักท่องเที่ยวอ่ะ) เซ็งเลย เอาใหม่หาใหม่อีก ตามหนังสือบอกอีก แต่มันเปิดทุ่มครึ่งแน่ะ โคดช้าเลย หิวแล้วนะ อีกอย่างถ้าจะไม่ไหว ร้านมันหะรูหะรา แล้วสภาพของเราเนี่ยมันคงไม่อยากต้อนรับ เหนื่อยมากเลย แวะร้านจีนร้านเดิมเหอะ ปั๋วบอกไม่เอา แต่ตูไม่ไหวแล้วล่ะ เธองอนนิดหน่อย ไม่สนโว้ย หิวมากๆๆเลย
แล้วดูมันสั่งนะ ของมันสั่งมันฝรั่งทอดด้วย อันนี้ขำมากเลย มีสปาเกตตี้ด้วย เธอดีใจรีบสั่งเลย แตเรารู้สึกแปลกๆอ่ะ ร้านจีนมีด้วยเหรอวะ พอเค้าเอามาเสริฟ ก๊ากกกกกกกกกอยากหัวเราะเลย มันผัดวุ้นเส้นดีๆนี่เองง่ะ สมน้ำหน้า ยังถามเค้าอีกนะว่าเนี่ยนะสปาเกตตี้ คนเสริฟยืนยันใช่ค่ะ ก๊ากกกกก

ทัวร์วันสุดท้ายย่าน Trastevere

วันนี้วันสุดท้ายของการเดินเที่ยวแล้ว สองวันที่ที่ผ่านมา(ไม่รวมวันเดินทางมาถึง) เราเดินเที่ยวกันอย่างเอาจริงเอาจัง เพราะกลัวว่าจะดูได้ไม่หมด เหนื่อยแต่ก็สนุก คุ้มค่ามาก สถานที่สำคัญๆเราตระเวนดูมาแล้ว ขาสองข้างของข้อยเริ่มโอดครวญนิดๆ ดังนั้นวันนี้เราจึงเดินแบบสบายๆ ไปเรื่อยๆ

วันนี้เราจะเดินเที่ยวไปในย่านที่ชื่อTrastevere ซึ่งเป็นย่านที่อยู่นอกเมือง อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำไทเบอร์ ย่านนี้จะเป็นย่านที่อยู่อาศัย ระหว่างทาง มีทางขึ้นไปบนเนินเขาเพื่อไปชมวิว เลยแวะขึ้นไปซะหน่อย

ก่อนไปถึงจุดชมวิว แวะไปดูหินที่ใช้จับคนโกหกก่อน 55555 ชื่อว่า The Mouth of Ttuth ( Bocca Della Verita) ห้าตาอย่างที่เห็นในรูปนี้แหละ เจ้าสิ่งที่ว่านี้เป้นแผ่นหินอ่อน มีหน้าคล้ายคน แขวนไว้บริเวณทางเข้าโบสถ์ซานตามาเรีย (ข้างในไม่สวย เก่ามากแล้ว) สมัยนั้นผู้คนเชื่อกันว่า คนพูดปด หรือ โกหกปลิ้นปล้อน หากวางมือลงที่ปากเจ้าน่แล้ว มือจะขาดทันที หากใครไปกับหวานใจก็ลองพิสูจน์ความรักกันได้นะจ้ะ

ตามธรรมเนียม ใครไปแล้วต้องทำแบบเนี้ยทู๊กกกกกคนเลย ดูทำหน้าดิ กลัวมือขาดอ่ะ

ภาพนี้จะมองเห็นโบถส์เซนต์ปีเตอร์อยู่ลิบๆ

เดินกันต่อไป(ด้วยความเมื่อยล้านิดๆแระ) เดินมานานมาก หลงทางนิดหน่อยอ่ะ ก็เข้ามาเขตที่อยู่อาศัย หาข้าวกินดีกว่า แฮ่ะๆ ไม่มีข้าวหรอก อาหารประจำ สปาเกตตี้อีกแระ (ไม่งั้นก็พาสต้า) เป็นร้านที่ชาวบ้านร้านช่องเค้ากินกันอ่ะ ไม่มีนักท่องเที่ยวหรอก ดีเหมือนกันได้บรรยากาศไปอีกแบบ กินเสร็จเดินต่อ ตามทางเดินจะมีแผงขายของแบบประตูน้ำบ้านเราแหละ แบบของแบกะดินก็มี เดินๆๆๆๆ จนมาถึง โบสถ์ ซานตามาเรียใน Trastevere ซึ่งคาดว่าจะเป็นโบสถ์คริสต์แรกที่สร้างอย่างเป็นทางการในสมัยศตวรรษที่3



ด้านใน สวยเหมือนกัน ถ่ายรูปอยากอ่ะเพราะแสงมันน้อย

เดินต่อไปเรื่อยๆ

เดินไปอีก นี่เลยวิธีตากผ้า เจ๋งมาก

หลังจากเดินกันมานานมากแล้ว ขาเริ่มล้ามากแล้วอ่ะ เราว่าจะนั่งพากตามทางเดินริมแม่น้ำอ่ะ แต่ปั๋วมันไม่นั่งด้วยอ่ะ มันเป็นไรไม่รู้ คนอื่นเค้าก็นั่งกัน ไม่เห็นเป็นไรเลย เธอบอกจะไปนั่งใน park เธอบอกเดินไปอีกหน่อยก็เจอ เอาวะเดินก็เดิน เดินมาตั้งครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่ถึงซักที ตูบอกไม่ไหวแล้ว ตอนนี้เริ่มมีปากเสียงกันแล้วค่ะ 55555555 บ้าป่าววะ เมื่อยจะตาย แค่นั่งพักแล้วเดินต่อ แค่เนี้ยก็ไม่ทำ แต่ดันทนเดินเมื่อยอีกตั้งนาน เพื่อหาที่นั่งเนี่ยนะ จะบ้าตาย เดินอึดไม่พูดกัน ดูดิมันจะทนได้แค่ไหน ที่สุดข้อยเองแหละ ทนไม่ได้ ไม่สนใจแล้ว เดินดุ่ยๆ ทิ้งมันเลย เดินเข้าเมืองไปนั่งมันริมบรรไดหน้าโบสถ์อะไรก็ไม่รู้ คนนั่งกันตรึม โธ่เอ๊ย นึกว่าจะแน่ เธอนั่งตามด้วย (จิงๆกัวเค้าทิ้งเหมือนกัน 5555555555 แต่ทำใจแข็ง) นั่งแช่มันซะเป็นชั่วโมงงั้นแหละ แล้วค่อยเดินต่อ เดินอีกแระ เราไม่ไหวแล้วจริงๆ เลยขอกลับที่พักก่อนแล้วกัน เธออยากเดินต่อก็ไปเหอะ (เริ่มไม่ง้อแล้วโว้ย จะกลับบ้านแล้ว) ตกลง เรากลับไปนอนพัก ทุ่มนึงมันกลับมาชวนไปกินข้าว ที่ไหนได้ไม่ได้กินอีก เธอจะซื้อของมาฝากแม่อ่ะ เออแล้วทำไมไม่ซื้อวะตอนเดินคนเดียวเนี่ย เริ่มโมโหหิวแล้วนะ เออ กว่าจะได้กินโน่นเกือบสามทุ่ม แทนที่จะหวีตหวิวก่อนกลับ เฮอะ อยากตื้บมันจัง

วันเดินทางกลับ

เช้านี้ต้องกลับแล้วจ้า ตื่นหกโมงครึ่ง กินเช้าเจ็ดโมง ออกจากที่พักเจ็ดโมงครึ่ง(เครื่องออก เที่ยงอ่ะ แต่ต้องเช็คอินก่อนสองชั่วโมง) อยากไปถ่ายรูป น้ำพุตอนนี้จังคงไม่มีคนแน่ๆ แต่อย่าเลย เด๋วตกเครื่อง ไว้กลับมาคราวหน้าแล้วกัน (กะว่ามาแน่ๆ อุตสาห์โยนไว้ตั้งสองเหรียญแน่ะ) เอาทางผ่านนี่แล้วกัน บันไดสเปน แทบไม่มีคนเลย

ภาพสุดท้ายที่โรม ก่อนไปขึ้นรถใต้ดินไปสนามบิน เดินไปอีกนิดก็ถึงแล้ว

จากนี้ไปเป็นภาพจากบนเครื่อง

ภาพนี้เพิ่งขึ้นมาได้แป๊บนึง ชายหาดอิตาลี

ภูเขาในสวิตเซอร์แลนด์

จะถึงบ้านแล้วจ้า เครื่องกำลังจะลง บ้านเราอยู่ใกล้สนามบินอ่ะ(สนามบินของเมืองนะ มะใช่สนามบินนานาชาติ) บ้านอยู่เวิ้งถัดไปหลังตึกน้ำตาลๆๆจ้ะ

กลับถึงบ้านแล้ว ห้าวันในโรมผ่านไปอย่างรวดเร็ว ประทับใจมากๆกับสถาปัตยกรรมในโรม หวังไว้ลึกๆว่าคงได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมเยียนอีกครั้งหนึ่งให้ได้ (ต้องได้ไปซิน่า ก็โยนเหรียญในน้ำพุตั้งสองเหรียญแน่ะ) แล้วพบกันทริปต่อไปนะจ้ะ