27 May 2006

London ตอนที่ 4

Day 4 13/12/05

หลังจากเมื่อวานเราเดินกันแบบมาราธอนแล้ว วันนี้ก็เลยกะจะเดินกันแบบสบายๆมั่ง รายการวันนี้คือ โบสถ์เวสมินสเตอร์ (Westminster Abbey) แล้วก็ห้าง Harrods สองที่นี้ต้องไปให้ได้ แล้วจากนั้นค่อยว่ากัน หุหุ ออกจากโรงแรมมาแล้วก็จัดการอาหารเช้า เรียบร้อยแล้วเราก็ออกทัวร์ จับสองแถวเอ๊ยไม่ใช่ ลงไปขึ้นรถไฟใต้ดินมุ่งหน้าไปยัง Westminster Abbey กันเลย

เรามาถึงประมาณ 10 โมงเช้ากว่าๆ คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ก่อนอื่นต้องเสียค่าเข้าชมด้วยคนละ 6 ยูโร แล้วก็ห้ามถ่ายรูปด้วยอ่ะ เซ็งเลยอ่ะ แต่ความที่อยากได้ภาพไว้เป็นที่ระลึกก็เลยต้องจำใจยอมซื้อหนังสือเอา ปกติจะซื้อเป็นโปสการ์ด แต่แบบว่าข้างในนั้นใหญ่มากแล้วก็มีหลายๆส่วน เลือกไม่ถูกว่าจะซื้ออันไหนดี เลยซื้อเป็นหนังสือมากอดไว้ หุหุ ได้ภาพจุใจดี

สถานที่แห่งนี้สร้างโดย King Edward the Confessor เริ่มสร้างมาตั้งแต่ปี 1605 แล้วก็มีการสร้างขยายเพิ่มเติมมาเรื่อยจนถึงปี 1844 สถานที่แห่งนี้ใช้เป็นที่ประกอบพิธีขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์ในราชวงศ์ รวามทั้งเป็นที่ฝังศพของราชวงศ์รวมถึงบุคคลสำคัญๆของประเทศ เช่นผู้นำหรือนายทหารคนสำคัญ รวมถึงนักคิดนักเขียนที่สำคัญๆด้วย

ภายในนั้นก็จะมีการแบ่งเป็นส่วนต่างๆ เช่นห้องที่เก็บพระศพของแต่ละพระองค์นั้นก็จะมีการสร้างแท่นหรือเตียงแบบโบราณ แล้วก็รูปปั้นของเจ้าของนอนบนเตียงไว้ด้วย สวยดีนะ ไม่น่ากลัวเลย ไม่รู้จะบรรยายยังไง เอาเป็นว่า ถ้าอยากเห็นภายในลองไปชมได้ที่เวปนี้เลยค่ะ Westminster Abbey เราใช้เวลาที่นี่นานพอสมควร เพราะว่ากว้างมาก วันนี้เราไม่รีบร้อนเท่าไหร่ อีกอย่างไกด์ส่วนตัวเธอจะสนใจดูรายละเอียดในส่วนที่เป็นที่ฝังศพของบรรดาผู้นำของประเทศ รวมถึงนายทหารที่สำคัญๆมากๆ แล้วก็มักจะเรียกเราไปดูด้วย ไอ้เราก็เฉยๆอ่ะ ไม่ค่อยจะตื่นเต้นไปกับเธอซักเท่าไหร่ ฮ่าๆๆๆ

จบจากที่นี่แล้วเราจะไปนั่งเล่นกันที่ St. James Park กันซักนิดพอให้หายเมื่อยขา


Westminster Abbey ทางเข้าด้านทิศเหนือ





ด้านส่วนที่เป็นสวน



อีกมุมนึงในสวน



ตรงนี้เป็นสวนเหมือนกัน แต่ห้ามเข้า แอบถ่ายรูปมา ฮ่าๆๆ อันนี้น่าจะถ่ายได้นะ เพระว่าไม่ได้อยู่ในตัวโบสถ์แต่ออกมาตามโถงทางเดินน่ะ



Westminster ด้านทิศตะวันตก






จากนั้นเราก้มาดูแผนที่ต่อว่าจะไปทางไหนดี จะเดินหรือจะขึ้นรถ แต่แววเดินเนี่ยมากกว่า หุหุ เป้าหมายของเราต่อไปคือห้างแฮร์รอด ดูแผนที่แล้ว มันไกลจังเลย ขึ้นรถไฟดีกว่า แต่ไกด์บอกว่า นี่ๆมันต้องผ่าน St.James Park แล้วก็ Buckingham Palace ด้วยนะ เราน่าจะเดินนะ จะได้ชมสวนด้วย แล้วก็เผื่อเธออยากจะถ่ายรูปพระราชวังอีกไงล่ะ แล้วเธอก็บอกไม่ไกลหรอก เดินไปเรื่อยๆเหนื่อยก็พักแล้วกัน เราก็เออๆก็ได้วะ ความที่อยากถ่ายรูปก็เลยตกลงเดิน จริงๆการเดินเนี่ยมันดีนะ ทำให้เราได้เห็นได้สัมผัสอะไรแบบละเอียดดี อยากหยุดเก็บภาพเมื่อไหร่ก็ทำได้ ใจน่ะชอบนะ แต่ขาเรามักจะไม่ค่อยยอมเปนใจไปกับเราเลยอ่ะ

เอาเหอะ ไงก็เดินเรื่อยเปื่อยมาถึงจนได้ แม้จะเป็นหน้าหนาว แต่สวน St.James Park และที่อื่นๆ ต้นไม้ก็ยังคงมีใบไม้ให้เห็นอยู่มั่ง สีสันเหลืองแดงสวยดี ไม่ได้ร่วงหล่นซะจนโกร๋น และก็ยังดูร่มรื่นน่าพักผ่อนอยู่ มีเจ้าสัตว์ประจำสวนเช่น นกต่างๆ หงส์ แล้วก็เป็ดเริงร่าเล่นน้ำ หาอาหารให้ดูเพลินตา แถมยังมีกระรอกด้วยนะ เยอะมากๆเลย มันออกมาวิ่งเล่นกันยั้วเยี้ยเชียว ดูจะเชื่องมากๆด้วย

ภาพภายใน St.James Park
















เก็บภาพ Queen Victoria Memorial หน้าพระราชวังมาอีก


ช่วงนี้ท้องเริ่มร้องจ๊อกๆแล้ว ก็เริ่มมองหาที่กินดีกว่า ก็เลยไปตั้งต้นกันที่สถานีรถไฟ Victoria กันดีกว่า เป็นสถานีใหญ่ คาดว่าแถวนั้นคงจะมีร้านอาหารล่ะ แล้วก็ไม่ผิดหวัง บริเวณนั้นก็เป็นย่านสำนักงานเหมือนกัน สังเกตุเอาจากการแต่งตัวของคนแถวนั้นล่ะ จะเป็นแบบหนุ่มสาวออฟฟิสก็เยอะ ก็เลยมีร้านอาหารเยอะแยะ มีร้านไทยด้วยล่ะ แต่ไม่เข้าอ่ะ ดูมันหรูหรามากเลย ชื่ออะไรก็จำไม่ได้แล้ว เดินหาไปเรื่อยๆ แล้วก็มาเจอเอาร้านอาหารจีนชื่อ Noodel Noodel เขียนงี้ป่าวก็ไม่แน่ใจ เป็นร้านตามสั่งเหมือนบ้านเราน่ะ มีเทคอะเวย์ด้วย มีหน่มสาวชาวออฟฟิศนั่งอยู่เต็ม น่าจะใช้ได้ ราคาก็ไม่แพงจนเกินไป เลยเข้าร้านนี้ล่ะ อาหารน่ากินมากๆเลย แต่จานใหญ่ไปหน่อย (แอบดูของโต๊ะอื่นๆ อิอิ) เราสั่งก๋วยเตี๋ยวน้ำได้ชามโต บาร์ทสั่งก๋วยเตี๋ยวผัดๆนี่แหละ อร่อยไม่ผิดหวังเลย

เติมพลังงานกันแล้วก็ออกลุยต่อ แต่มีขอร้องว่าขอใช้บริการรถไฟใต้ดินเหอะ อยากเก็บพลังงานไว้เดินในห้างแฮร์รอดอ่ะ ก็ห้างนี้น่ะเค้าว่าใหญ่โตและหรูหรามากๆ ใครเป็นเจ้าของห้างนี้คิดว่าหลายๆคนก็คงรู้ ก็ผ่านเลยไปดีกว่า ห้างนี้มีทั้งหมดเจ็ดชั้นด้วยกัน มีแผนกสินค้าต่างๆมากมายถึง 300 แผนก ตามหนังสือเค้าบอกว่าส่วนที่น่าสนใจและมีชื่อเสียงมากก็คือแผนกอาหาร หรือ Food Hall แน่ล่ะเราก็ไม่พลาดเหมือนกัน

ใครจะเข้าไปห้างนี้วันนั้นคงต้องแต่งตัวให้ดูเรียบร้อยหน่อยแล้วกันนะคะ แบบประเภทกางเกงยีนส์ขาดๆ ลากฟองน้ำหรือรองเท้าแตะแล้วก็สะพายเป้ใบโตๆเนี่ย ระวังจะไม่ได้เข้า เพราะเค้ามีพนักงานรักษาความปลอดภัยที่แต่งตัวเนี๊ยบคอยดูแลอยู่หน้าห้างค่ะ อันนี้ก็เผอิญอ่านเจอจากหนังสือท่องเที่ยวค่ะ แต่เรื่องจริงจะเป็นไงนั้นไม่แน่ใจ ถ้าเรามีเวลาอยู่ที่นั่นนานๆ อาจจะลองดูเหมือนกัน ฮ่าๆๆ วันนั้นเราก็แต่งตัวปกติค่ะ แล้วบาร์ทก็ไม่ได้ถือกระเป้ใบโตไปด้วย เราเลยผ่านเข้าไปได้สะดวกโยธิน

เข้าไปข้างในเราก็เจอเข้ากับบรรยากาศแบบอียิปต์ๆ (ยังไม่เคยไปหรอกค่ะ คุณยิปต์เน่ย ก็อาศัยดูตาม ทีวีเอาน่ะ)ของตกแต่งแต่ละอย่างก็ดูมันเทอะทะมหึมาในสายตาเราอ่ะนะ หรือว่าเราไม่มีเทสก็ไม่รู้ หุหุ ถ้าไม่อยากเดินหลงก้ขอแผนที่ของห้างได้ที่ประชาสัมพันธ์นะคะ แต่สำหรับเราไม่ขอค่ะ ไม่ใช่เก่ง แต่ว่าอยากเดินดูมันไปเรื่อยๆ อ้อ รู้สึกจะมีมุมนึงที่จัดไว้สำหรับการรำลึกถึงเจ้าหญิงไดอานากับนาย Dodi al Fayed ด้วย แต่เราหาไม่เจอ ฮ่าๆๆ เลยไม่ได้เห็นเลย สมน้ำหน้าตัวเองอยากไม่เอาแผนที่

ก็เค้าบอกว่าแผนกอาหารน่ะมีชื่อเสียง เราก็ต้องรีบไปดูก่อนสิ อืม คนเยอะจริงๆ เยอะมากๆด้วย มีตั้งแต่ผักผลไม้ ยันเนื้อสัตว์ อาหารทะเล กาแฟหลากหลายชนิด คุ๊กกี้ ช๊อคโกแลต โอยเยอะแยะไปหมด มีส่วนที่เป็นอาหารตามสั่งด้วย แบบนั่งกินที่เคาท์เตอร์น่ะ เราก็เดินดูไปเรื่อยๆ อยากซื้อของที่ระลึกซักชิ้น ให้ได้ชื่อว่า ชั้นซื้อของจากห้างนี่เชียวนะเฟ้ย ฮ่าๆๆๆๆ เลือกอยู่นานมาก พนักงานรักษาความปลอดภัยมันคงเหล่เราเหมือนกัน ยัยนี่จะมาขโมยของอ๊ะป่าว ก็เป็นอันว่าได้เจ้าคุ๊กกี้ที่อยู่ในกระป๋องทรงกลมสีแดงลายหมี มีป้ายแฮร์รอดติดมาด้วย ราคา 4.50 ปอนด์ ที่เลือกนานเนี่ยก็เอาที่มันถูกสุดๆไง

จบจากแผนกอาหารแล้วก็เดินไปแผนกต่างๆเรื่อยเปื่อย สำหรับเราก็งั้นๆอ่ะนะ ห้างมันใหญ่โตก็จริง แต่ของก็เหมือนๆกับที่อื่นแหละ เพียงแต่ติดตราห้างเข้าไปเลยยิ่งแพงหนัก การจัดวางสินค้าก็ไม่ได้แตกต่างจากห้างบ้านเราหรอก เผลอๆห้างที่บ้านเราสวยกว่าอีกนะ ก็ทนเดินอยู่พักนึงก็ออกมาสูดอกาศภายนอกดีกว่า เพราะข้างในมันอึดอัดน่ะ จะเป็นลม อ้อ กั่กๆๆๆ ขอขำก่อน ห้างมันอยากใหญ่โตหรูหรามีชื่อเสียงมากนัก เลยได้ไปฝากรักจู๊ดๆๆ ในห้องน้ำอันแสนหะรูหะราตั้งสองครั้งแน่ะ อันนี้เนี่ยปกติเราจะไม่เคยเป็นแบบนี้ที่ไหนเลยนะ เพิ่งมีที่นี่แหละ ที่มันปวดจนทนไม่ได้น่ะ




หน้าร้านที่ห้างแฮร์รอด เทศกาลคริสต์มาส






ออกจากห้างมาได้ก็มืดแล้ว ทั้งๆที่เพิ่งจะแค่สี่โมงเย็นเองนะ จากนี่เราจะไป Royal Albert Hall กันต่อ ก็เดินอีกตามเคย เพราะสถานีรถไฟใกล้กับที่เราจะไปนั้นมันไม่มี ก็เลยเดินดีกว่า ดูแผนที่มันก็ไม่ไกลเท่าไหร่ แต่เอาเข้าจริงมันไกลจังเลย อาจเป็นเพราะเราคงเดินมาทั้งนั้น แล้วก็เหนื่อยด้วยมั้ง กว่าเราจะไปถึง มันก็มืดตื๋อเลย ภาพที่ถ่ายออกมาก็เลยไม่ได้อย่างใจเอาซะเลย ความจริงเรื่องถ่ายรูปเนี่ย เราก็กดเป็นอย่างเดียว ปรับอะไรก็ไม่ค่อยจะเป็นกะเค้าหรอก ถ่ายไม่ดีก็โทษนั่นนี่ไปตามเรื่อง หุหุ

Royal Albert Hall เป็นอาคารรูปทรงกลมขนาดใหญ่ เป็นที่จัดแสดงคอนเสิร์ต สร้างขึ้นในปี 1871 โดย Prince Albert จุผู้ชมได้ถึง 8000 คน นอกจากคอนเสิร์ตแล้วก็ยังใช้เป็นที่จัดการแสดงอื่นอีก เช่น การแสดงละครจัด การชิงแชมป์มวย
อ้อ ระหว่างเดินมาที่นี่ก็มีการหลงทาง ไปที่ผิดกันค่ะ เพราะไกด์นำทางคิดว่าเราจะไปพิพิธภัณฑ์ Victory&Albert ค่ะ เธอเลยพาเราเดินไปที่นี่ แต่เราบอกไม่ใช่นะ ชั้นจะไป Royal Albert Hall ก็เลยมาถึงช้าด้วยประการฉะนี้แล คนบอกแล้วว่าไม่ถูกโรคกับมิวเซียม แล้วตูจะมาทำไมล่ะ


Royal Albert Hall



Royal Albert Hall



Prince albert


ส่วนภาพด้านล่างสองภาพนั้นเป็นตึกอะไรก็ไม่รู้ ลืมแล้วล่ะ ได้ภาพเพราะเดินหลงทาง




จากนั้นเราก็เดินกลับไปที่แฮร์รอดเพื่อไปขึ้นรถไฟไปย่านโซโห ไปหาข้าวเย็นกินกัน ทำไมต้องไปแต่ย่านนี้ ก็เรากินได้แต่อาหารจีนแล้วก็ไทยเท่านั้นน่ะ อาหารฝรั่งก็อยากจะกินนะแต่กินไม่ได้ กินทีไรก็จะอ๊อกทุกทีเลยนี่ ไปไหนแต่ละทีเราก็เลยมักจะมีปัญหากะการกินนี่แหละ เพราะถ้ากินไม่ได้มันก็เหนื่อยก็จะเที่ยวไม่สนุกแล้วล่ะ แล้วก็มักจะต้องได้กัดได้จิกกับคนร่วมทางทุกทีเลย คราวนี้ก็ไม่พลาดค่ะ ก็กัดก็จิกกันเรื่องที่กินนี่แหละ ยังไม่มีทริปไหนเลยนะที่ไม่เคยไม่ทะเลาะกันเนี่ย สรุปวันนั้นเราก็ชนะอีกตามเคย เข้าร้านอาหารจีนตามสั่ง งงมั๊ย ทุกร้านก็ต้องสั่งทั้งนั้นแหละ ถึงจะได้กิน แต่หมายถึงว่า ร้านที่มันตามสั่งแบบบ้านเราไง ไม่ใช่ภัตาคารหรูหราที่ต้องเข้าไปนั่งเก๊กท่า เข้าไปแล้วก็สั่งๆมากิน ไม่ต้องมีพิธีรีตรองอะไรมากมายน่ะ ก็สั่งผัดไทยมากิน ฮ่าๆๆๆ แอบมองของคนอื่นแล้วล่ะ หน้าตาใช้ได้ เลยสั่งมากิน ก็ใช้ได้นะ ยังรู้ว่ากินผัดไทยน่ะ ไม่เหมือนคราวก่อนที่ซูริค อันนั้นแม้แต่วิญญาณผัดไทยยังไม่มีเลย จนอยากจะเข้าไปว่าเจ้าของร้านที่ทำอาหารไทยเราเสียชื่อหมด

ออกจากร้านอหารเห็นว่ามันยังไม่ดึกเกินไป แล้วพรุ่งนี้เราก้ต้องกลับกันแล้ว ก็เลยไปเดินที่ Shepherd's Market อยู่ใกล้ๆกับถนน Piccadilly ในย่าน Mayfair ร้านค้าที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นร้านเล็กๆ มีผับในบรรยากาศเก่าๆ ร้านสแน๊คบาร์ คล้ายๆกับร้านเล็กๆในสยามสแควร์บ้านเราก็น่าจะได้ เดินๆได้ซักพักก็กลับที่พักกัน พรุ่งนี้ต้องกลับบ้านแล้ว เวลานี่มันเร็วจังเลยนะ


Shepherd's Market







เห็นม้าหมุนแล้วคิดถึง มชล ถ้ามาด้วยคงต้องได้นั่งหลายรอบเลย


แม้พรุ่งนี้จะกลับแล้ว แต่ก่อนกลับก็ยังมีภาพมาเก็บตกมาให้ดูกันอีก ก็เครื่องมันออกเย็น ยังมีเวลาเดินได้อีกหน่อย ฮ่าๆๆ

24 May 2006

London ตอนที่ 3

Day 3 12/10/05

วันที่สามของการเดินทางแล้ว วันนี้เราตื่นกันแปดโมงครึ่ง เช้านี้ท้องฟ้ามัวซัว มีฝนพรำนิดหน่อย โชคดีที่พอสายๆท้องฟ้าก็เริ่มแจ่มใสเป็นระยะๆ ออกไปหาอะไรกินแถวๆที่พัก แล้วเราก็เริ่มออกชมเมืองกัน วันนี้เราจะไป The Tower of london , Tower Bridge และย่านธุรกิจที่อยู่ในส่วนของ City of London

เรานั่งรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานี Tower Hill วันนี้ระหว่างนั่งรถไฟเราก็ดันเกิดพะอึดพะอม เหมือนเมารถน่ะ เอาซูกัสขึ้นมาเคี้ยวก็แล้ว งัดยาหม่องน้ำสีเหลืองๆมาดมก็แล้ว ก็ยังไม่มีทีท่าจะดีขึ้น ฝรั่งตรงข้าก็มองใหญ่ ยัยคนนี้เอาอะไรมาดมฟะ ฮ่าๆๆ เหลืออีกไม่กี่ป้ายก็จะถึง แต่ว่าไม่ไหวแล้ว บอกบาร์ทลงเหอะไม่งั้นฉันอ้วกแน่ๆ พอประตูเปิด ลงรถได้ก็โล่งขึ้นเยอะเลย เจอลมพัดมาทำให้สดชื่นขึ้น คงเป็นเพราะข้างนอกมันหนาวแล้วเราก็ใส่เสื้อผ้าเต็มยศ พอขึ้นมาบนรถมันก็อบอ้าวเหลือเกิน มันก็เลยจะตายเอาน่ะซี นั่งพักแป๊บนึงก็ไปต่อได้ค่ะ เฮ้อเกือบไปแล้ว ดีนะที่อุดปากตัวเองไว้ทัน หุหุ

พอเริ่มดีขึ้นก็นั่งรถไฟต่อไปยังจุดหมายได้ค่ะ ลงจากรถไฟขึ้นมาด้านบน ข้างหน้าก็จะเห็น Tower of London ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า จัดแจงถ่ายภาพทันที แต่ภาพที่เห็นมันไม่ได้ดังใจเล๊ย ก็ท้องฟ้ามัวๆ แล้วก็รถเยอะจังเลย ภาพที่ได้ก็เลยเป็นแบบนี้ล่ะ


The Tower of London




ส่วนภาพด้านล่างนี้เป็นด้านตรงข้ามกับหอคอย (เรียก Tower of London ว่าหอคอยก็แล้วกันนะ)วิวที่เห็นมันตัดกันดีน่ะ สิ่งก่อสร้างแบบเก่า ตั้งคู่กับอาคารสำนักงานในย่านธุรกิจ ที่จริงมันไม่อยู่ใกล้กันหรอกนะ ตึกเก่าอยู่ใกล้กับหอคอย แต่เจ้าอาคารใหม่นี้มันอยู่ไกลไปอีก



เก็บภาพจนพอใจ เราก็เดินข้าถนนเพื่อจะเข้าไปในหอคอยกัน ค่าเข้าชมก็ ผู้ใหญ่คนละ 11.30 ปอนด์ เด็ก 7.50 ปอนด์ ด้านหน้าทางเข้าเนี่ย จะมีทหารใส่ชุดโบราณ Yeomen Warders of Her Majesty's Royal Palace and Fortress the Tower of London หรือเป็นที่รู้จักในนาม "The Beefeaters"ในสมัยก่อนก็ถือว่าเป็นคนที่เฝ้าหรือดูแลตรวจตราหอคอย ปัจจุบันนี้หน้าที่หลักก็เป็นไกด์ บรรยายให้เราฟังด้วย จะเดินตามเค้าก็ได้แต่ต้องรอให้เป็นกลุ่มใหญ่พอประมาณ แต่ถ้าอยากจะเดินดูเองก็ได้ตามสะดวก อยากดูรายละเอียดก็ตามไปดูได้
คลิ๊กที่นี่

เอาประวัติมาแปะไว้นิ๊ดนึง The Tower of London สร้างขึ้นใสมัยที่ Willem I เป็นกษัตริย์ เพื่อใช้เป็นพระราชวังและป้อมปราการป้องกันกรุงลอนดอน มีการขุดคูคลองล้อมรอบปราสาทเพื่อป้องกันระหว่างกำแพงชั้นในและนอก และในช่วงต่อมา ได้ใช้เป็นที่คุมขังนักโทษที่เป็นเจ้านายชั้นสูง ปัจจุบันใช้เป็นที่เก็บมงกุฎและของใช้ส่วนพระองค์ของกษัตริย์และพระราชินี ซึ่งเปิดให้เข้าชมได้

ใน Tower of London มีส่วนอาคารที่เรียกว่า White Tower หอคอยสีขาว ตั้งอยู่ใจกลางพื้นที่ และมีหอคอยที่มีชื่อว่า Bloody Tower (หอคอยเลือด) เป็นจุดควบคุมประตูน้ำเข้า-ออก (เดิมมีชื่อว่า Garden Tower เพราะอยู่ใกล้สวน) ซึ่งเป็นสถานที่ที่คุมขังเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดวัย 12 ชันษาและพระอนุชา ที่ได้ชื่อนี้ก็เพราะ เมื่อกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 4 สวรรคต ริชาร์ดดยุคแห่งกลาวเสตอร์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาได้นำเจ้าชายทั้งสองไปขังไว้ที่หอคอยแห่งนี้ และได้สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์ริชาร์ดที่ 3 หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดพบเห็นเจ้าชายทั้งสองอีกเลย ซึ่งคาดว่าอาจจะเสียชีวิตที่หอคอยเลือดนี้แล้ว จบประวัติแค่นี้ดีกว่า


The Traitors Gate หรือ Water Gate อยู่ติดกับแม่น้ำเทมส์ เป็นทางเข้าของนักโทษที่สำคัญๆ



ด้านหน้าที่เห็นคืออาคารที่เก็บมงกุฎพระราชินีและสมาชิกในราชวงศ์ ส่วนด้านขวามือคือตึกWhite Tower



ลานข้าง White Tower เป็นที่อยู่ของอีกาสีดำตัวโตที่เรียกว่า Raven มีคำกล่าวที่ว่า หากอีกาหายไปจากลานนี้เมื่อไหร่ก็จะถึงเวลาล่มสลายของราชวงศ์



เจ้าตัวนี้แหละที่เรียกว่า Raven



White Tower เป็นที่ประทับของกษัตริย์และสมาชิกในราชวงศ์ของอังกฤษ เป็นทั้งที่ตั้งของศาลและที่ทำการของรัฐบาลด้วย


เข้าไปดูข้างใน White Tower เข้าไปชั้นแรกก็จะเจอกับ Chapel of the Evangelist เป็นโบสถ์โรมันที่ถือว่าสวยที่สุดในลอนดอน (หนังสือเค้าว่างั้นอ่ะ) ชั้นต่อไปก็จะเป็นที่แสดงอาวุธปืนต่างๆและดินปืน


Chapel of the Evangelist


ภาพต่อไปนี้เดากันได้ป่าวว่าเป็นอะไร ฮ่าๆๆๆ

มันคือห้องสุขาหรือห้องส้วมจ้า ฮ่าๆๆ ช่างถ่ายภาพมาจริงๆยัยคนนี้นี่



บรรดาม้าต่างๆ



อาคารที่เก็บรักษามงกุฎของพระราชินีและสมาชิกในราชวงศ์



Tower Green อาคารด้านข้างหอหอยเลือด เป็นสถานที่คุมขัง Lady Jane Grey ซึ่งมีอายุแค่ 16 ปีในตอนนั้นและเป็นพระราชินีได้เพียงแค่ 9 วัน และต่อมาก็ได้ถูกสังประหารชีวิต และ Katharine Howard พระชายาคนที่สองของกษัตริย์ Hendrik ที่ 8


ออกจาก Tower of London แล้วเราก็เดินไปดูสะพาน Tower Brige ซึ่งอยู่ใกล้ๆกันนั่นเอง สะพานนี้ออกแบบโดยHorace Jones เริ่มสร้างในปีค.ศ. 1886ใช้เวลาสร้างรวม 8 ปี สะพานนี้สามารถเปิดให้เรือใหญ่ผ่านได้ อยากขึ้นไปชมวิวด้านบนก็ได้เลยค่ะ เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 9.30-18.00 ผู้ใหญ่ 4.50ปอนด์ เด็กอายุตั้งแต่ 5-15ปีคนละ 3 ปอนด์ แต่ถ้าจะเข้าไปชมมิวเซียมที่อย่ที่หอคอยด้านบนด้วย ก็จะเป็นอีกราคานึงค่ะ ผู้ใหญ่ 5.50 ปอนด์ เด็ก 3.50 ปอนด์ ทีนี้ก็มาชมภาพสะพานได้เลยหลากหลายมุม













จากสะพานเราก็ชื่นชมวิวทิวทัศน์ไปเรื่อย มีตึกรูปทรงแปลกๆให้ดูด้วย เดินดูจนเมื่อยขา ท้องเริ่มร้องจ๊อกๆแล้ว ก็จะไม่ร้องได้ไง มันบ่ายโมงกว่าแล้วนี่นา ตั้งแต่เช้าก็มีแค่กาแฟ ขนมปังแล้วก็แอปเปิ้ล 1 ลูกเท่านั้นเอง กะว่าจะหาอะไรที่มันรสจัดๆกินดีกว่า เพราะว่ากลัวจะคลื่นไส้แบบเมื่อเช้าอีก เฮ้อ กรรมจริงๆ กินอาหารฝรั่งกะเค้าไม่ค่อยจะได้ เลยลำบากหน่อย ก็เดินไปเรื่อยๆ เหนื่อยๆก็เหนื่อย สายตาก็พลันไปเจอเข้ากับร้านกินด่วนแบบแคโดนัล แต่ร้านนี้ขายไก่ทอดด้วย คิดว่าคงจะเป็นของแขกหรือตุรกีน่ะ โชคดีจริงๆ ตกลงกินร้านนี้เลย เราสั่งปีกไก่ทอดของโปรดมากิน บาร์ทเธอไม่ชอบกินไก่มีกระดูกก็เลยสั่งแฮมเบอร์เกอร์มากิน เสร็จแล้วก็นั่งดูแผนที่กันว่าจะไปไหนต่อ


วิวมองจากสะพาน ตึกที่เห็นนั้นจะอยู่ไกลไปอีกทางด้านหลังของ Tower of London เราจะเดินไปดูใกล้ๆในตอนบ่ายๆ



City Hall เป็นที่ตั้งของ Great London Authority Headquarters ตั้งอยู่ทางใต้ของของแม่น้ำเทมส์ ยังไม่เก่าจนเกินไปเพระเพิ่งเปิดเมื่อเดือนกรกฎาคม 2002 นี้เอง



ส่วนที่เป็นทั้งที่อยู่อาศัยและด่านล่างเป็นร้านค้าและสำนักงานเล็กๆ


หลังจากเติมพลังกันแล้วก็เริ่มทัวร์เดินมาราธอนกันต่อไป เราเดินข้ามสะพานลอนดอนบริดจ์ (London Bridge)เพื่อจะไปยังย่านที่เรียกว่า City of Londonn ซึ่งย่านนี้จะเป็นย่านที่เก่าแก่ของลอนดอน เป็นย่านที่มีความสำคัญทางด้านเศรฐกิจที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ที่นี่จะมีอาคารสำนักงานมากมาย ล้วนเป็นตึกสูงๆ ถ้านึกถึงบ้านเราก็ต้องที่สีลม แบบนั้นล่ะ บรรยากาศก็มีแต่สูทสีดำ สาวๆก็แต่งตัวเก๋ไก๋เป็นสาวออฟฟิศ เอ้อ คิดถึงอดีตเลยเรา

เมื่อข้ามสะพานไป ก็ไปเจอกับอนุสรณ์สถาน (Monument)ที่ออกแบบสร้างโดย Christopher Wren สร้างขึ้นหลังจากเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี 1666 สูง 62 เมตรด้านในมีบันไดบนเพื่อขึ้นไถงด้านบนมากกว่า 300 ขั้น ใครจะปีนขึ้นไปชมวิวก็ได้ค่ะแต่ไม่ฟรีนะ ค่าขึ้นก็ไม่แพง ผู้ใหญ่ 2 ปอนด์ เด็ก 1 ปอนด์ แต่วันนี้เราขอบายค่ะ ฮ่าๆๆ


Monument


แล้วก็มาเจอกับตึกทรงสูง เรามองแล้วก็ให้นึกถึงตัวเครื่องจักรอะไรสักอย่างที่อยู่ในโรงงาน เพียงแต่สัดส่วนมันใหญ่โตกว่าเครื่องจักรมากๆ ด้านหน้าของตึกมีการตรวจตารักษาความปลอดภัยด้วย ดูท่าจะเข้าไปในตึกนี้ลำบากจังเลยถ้าไม่ใช่พนักงานเนี่ย อ้อ อาคารนี้มีชื่อว่า Lloy's Building ออกแบบโดย Richard Rogers ผนังด้านนอกจะใช้เหล็กสแตนเลส (stainless steel)อาคารนี้เป็นที่ทำการของ สถาบันประกันภัยของ Lloyd's of London ใช้เวลาสร้าง 8 ปีด้วยกัน (1978-1986)
อ่านเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่


Lloy's Building





ด้านนี้จะมองเห็นลิฟท์อยู่นอกตัวอาคาร


เดินต่อไปอีกนิดก็จะเจอตึกรูปทรงรีแล้ว ตึกนี้ชื่อทางการว่า 30 St Mary Axe แต่ชื่อที่รู้จักทั่วไปคือ The Gherkin หรือ The Swiss Re Tower, Swiss Re Building หรือ Swiss Re Centre ออกแบบโดย Sir Norman Foster and ex-partner Ken Shuttleworth และได้รับรางวัล Pritzker-prize ด้วย ถ้าอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่


30 St Mary Axe



ด้านหน้าของตึก


ใกล้กันนั้นก็จะมีตลาดที่มีหลังคาน่ะ ชื่อว่า Leadhall Market ข้างในก็มีร้านกาแฟน่ารักๆ ร้านขายดอกไม้ แล้วก็ของจุกจิก ก็สวยดีเลยถ่ายรูปเก็บมางั้นแหละ









เดินต่อไปอีกก็จะเจอกับตึกอาคารในสมัยเก่า ใหญ่โตหรูหรา แถวๆนี้ก็จะมี Bank of England Museum มีอาคารที่ตั้งตลาดหุ้น มี Mansion House เป็นบ้านพักของผุ้ว่าการเมืองลอนดอนในสมัย 1753 เข้าไปชมภายในได้ แตต้องเข้าเป็นหมู่คณะ ต้องนัดหมายกันก่อนนะคะ เฉพาะ อังคาร พุธ และวันพฤหัส ตั้งแต่เวลา 11-14 น. เราไม่ได้เข้าไปชมค่ะ แล้วก็ไม่ได้ถ่ายรูปมาด้วย เพราะว่าไม่แน่ใจว่าตึกไหนกันแน่ ฮ่าๆๆๆ ก็มันเยอะเหลือเกินนี่ คราวหน้าเอาใหม่ อิอิ เอาภาพเรื่อยเปื่อยไปแล้วกัน แถวๆนี้ล่ะ






อาคาร Bank of England Museum


ภาพล่างนี้ก็ถ่ายเรื่อยเปื่อยแล้ว เห็นสวยดีก็ถ่ายๆมางั้นอ่ะ พอเริ่มเย็น ขาก็เริ่มล้า ความอยากรู้อยากเห็นก็ลน้อยลงไป ที่จริงตอนนั้นก็รู้ล่ะว่ามันคืออะไร มาตอนนี้ก็ลืมซะแล้ว ไม่ได้จดไว้ ก็คิดว่าคงจะจำได้ แต่ก็จำไม่ได้ หุหุ จริงๆเราผ่าน Museum of London ด้วย ค่าเข้าก็ไม่เสีย ข้างในก็จะแสดงประวัติความเป็นมาของลอนดอน ตามหนังสือเค้าว่าเป็นมิวเซียมประเภทที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก เค้าว่างั้นอ่ะแต่ควาที่อยากไปดูโบสถ์เซนต์ปอลมากกว่าเลยผ่านไป อีกอย่างเป็นโรคไม่ถูกกับมิวเซียมด้วย เลยผ่านไป





แล้วก็มุ่งหน้าต่อไปยังโบสถ์เซนต์ปอล (St.Paul Cathedral)เดินไปถึงมันก็ 4 โมงเย็นแล้วล่ะ แต่มันหน้าหนาวเลยมืดเร็ว ตั้งใจจะมาเก็บภาพอันอลังการณ์ซะหน่อยก็จ๋อยไปตามระเบียบ เพราะโบสถ์ใหญ่มากเหลือเกิน ทำยังไงก็ก็เก็บภาพไม่หมด มืดก็มืด เข้าไปข้างในก็ห้ามถ่ายภาพอีก ก็เลยไม่มีภาพด้านในมาให้ดูกัน

โบสถ์นี้ออกแบบโดย Sir Cristopher Wren ปรับปรุงจากของเดิมที่ถูกไฟไหม้ไปในปี 1666 แล้วมาเสร็จในปี 1708 ถือเป็นโบสถ์นิกายโปรแตสแตนท์แห่งแรกที่สร้างใหญ่โตมโหราฬแบบนี้ สำหรับเราคิดว่าโบสถ์นี้สวยกว่าที่โรมนะ แต่ที่โรมน่ะใหญ่และอลังการกว่าเท่านั้นเอง สำหรับภาพได้มาเท่านี้แหละ กะว่าถ้าวันอื่นมีเวลาเหลือจะกลับมาดูใหม่ ก็ไม่ได้กลับมา









จากที่นี่เราก็นั่งรถไฟไปเดินที่ถนน Oxford St. ตอนนั้นก็ห้าโมงเย็นกว่าๆแล้ว คนเยอะมากๆเลย ก็คงเป็นเวลาเลิกงานด้วยมั้ง คนเลยเยอะมากๆ หาร้านกินข้าวกันดีกว่าก็ใช้ดูตามหนังสือเอาว่าเค้าแนะนำที่ไหนมั่ง เดินดูเองไปเรื่อยเปื่อยมั่ง วันนี้อยากกินอาหารไทยจังเลย หาไม่เจอ แต่ในหนังสือมีบอกชื่อร้านอาหารไทยร้านนึง เลยตามไปดู ชื่อร้านบุษบา แต่เห็นหน้าร้าน เห็นคนเสริ์ฟแล้ว ชักไม่แน่ใจว่าไทยแท้หรือเปล่า แต่เอาเหอะไหนๆก็เดินมาถึงแล้ว อีกอย่างหิวด้วย เลยเอาร้านนี้แหละ

ข้างในร้านก็จัดโต๊ะง่ายๆ เรียบๆ มีโต๊ะแบบยาวๆที่เป็นม้านั่งด้วย บนโต๊ะมีขวดน้ำปลา ซอสพริกศรีราชาตั้งไว้ด้วย อย่างนี้ไม่ใช่ไทยแท้แหงๆแล้ว แต่นั่งแล้วนี่ก็จำใจสั่งล่ะ คือไม่ใช่อะไรหรอก เสียดายตังไง ถ้าจ่ายแพงแล้วไม่อร่อยก็ไม่อยากจ่ายหรอก ใช่ป่าว เอา มาดูเมนูต่อ ก็เรียกว่าอาหารไทยขึ้นชื่อทั้งหลายมีพร้อม ส้มตำยังมีเลย เราสั่งที่ปลอดภัยไว้ก่อนเอาแบบว่ายังไงก็พอจะกินได้ ก็เลือกสั่ง กุ้งผัดพริกกับใบโหระพา คิดว่าคงจะหน้าตาแบบผัดพริกใบโหระพานั่นล่ะ แล้วก็แถมด้วยทอดมันปลา ส่วนบาร์ทสั่งแกงกะหรี่ไก่

พออาหารมาหน้าตาใช้ได้ รสชาติก็ใช้ได้อีก โชคดีจัง ไม่ผิดหวัง พอถึงตอนเก็บเงิน ด้วยความอยากรู้ เลยถามพนักงานว่าแม่ครัวเป็นคนไทยหรือเปล่า เธอบอกไม่รู้ค่ะ อาจมีมั้งหรือไม่ก็คนจีนอ่ะ คือร้านนี้ขายอาหารไทย แต่ทั้งร้านไม่มีคนไทยเลย คนเสริฟและผู้จัดการก็เป็นฝรั่ง ยังดูเด็กๆกันอยู่เลย การบริการก็พอใช้ได้นะแต่ก็ไม่ค่อยเฟรนลี่เท่าไหร่ ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ มื้อนี้ก็จ่ายไป 28 ปอนด์ ก็ไม่แพงเท่าไหร่


Oxford St.


กินเสร็จก็เดินเล่นดูแสงสีไปเรื่อยเปื่อย ชวนบาร์ทกลับดีกว่า เธอบอกเพิ่งจะทุ่มเดียวเองจะรีบไปไหน โห ไม่ไหวแล้วอ่ะ ตั้งแต่เช้าแล้วนะ งั้นไปส่งชั้นก่อนแล้วเธอจะไปไหนก็ไปเหอะ ไม่รู้เป็นไรมันอยู่เฉยๆไม่เป็นไงนะ ก็จะไปขึ้นรถใต้ดินที่ที่สถานีอ๊อกฟอร์ดอ่ะ แต่ขึ้นไม่ได้ เอยลงไปไม่ได้ คนเยอะมาก ล้นขึ้นมาจนถึงปากทางเข้าข้างบนเลย ตำรวจต้องมาพูดโทรโข่ง บอกให้ไปขึ้นที่สถานีอื่นกันมั่ง ตรงนี้ไม่มีที่จะยัดลงไปแล้ว เออ เพิ่งเคยเห็นเนี่ยล่ะ เดินไปขึ้นสถานีอื่นก็ได้ฟะ ก็เดินไปอีกพอประมาณ อืม ตรงนี้ว่างเชียว แล้วก็ได้กลับไปนอนพักเอาแรงซะที ปล่อยบาร์ทไปเดินท่อมๆคนเดียวแล้วกัน ไม่ไหวแล้ว

จบการเดินมาราธอนสำหรับวันนี้ แต่ทริปนี้ยังไม่จบนะคะ ยังมีตอนต่อไปค่ะ