16 February 2005

Wellcome


ขอบคุณทุกๆคนนะคะ ที่เข้ามาเยี่ยมเยียนเวปไซต์ของเรานะ ช่วงนี้คงไม่ได้เข้ามาอัพเดตเรื่องราวสักระยะ เพราะเปิดเทอมแล้ว แล้วก็การบ้านเยอะ เทอมนี้หนักไปทางบรรยายซะเป็นส่วนใหญ่ เราเลยต้องใช้เวลามากเป็นพิเศษในการอ่านหนังสือ(ดัชท์)

ยังไงก็ต้องขอโทษเพื่อนๆด้วย หากคลิ๊กเข้ามาแล้วไม่มีอะไรใหม่ๆให้อ่าน

คิดถึงทุกๆคนจ้ะ

เจี๊ยบ

10 February 2005

นึกไปเรื่อยเปื่อย


ก็ไม่ว่างหรอกนะ แต่ว่ามันก็จะแว่บๆเข้ามาอยู่เรื่อยๆ แล้วไม่รู้จะพูดกับใครดี จะโทรหาเพื่อนเหรอ มันก็ไม่ไหว ค่าโทรมันก็แพง เลยต้องก้มหน้าก้มตาเขียนมันขึ้นมานี่แหละ เพื่อนจะอ่านป่าวก็ไม่รู้อีก แต่ละคนกลัวคอมพิวเตอร์กันทั้งนั้นเลย แต่ก็ตื๊อเขียนไปนี่แหละ เค้าคงว่างมาอ่านกันซักครั้งหรอกน่า

ถึงตอนนี้เรามาใช้ชีวิตอยู่ที่เนธอร์แลนด์ได้เกือบห้าปีแล้ว เวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน มีเรื่องราวผ่านเข้ามาในชีวิตมากมาย ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เคยคิดเคยฝันแค่ว่า อยากมาเที่ยวเมืองนอกสักครั้งในชีวิต อยากมาดูโลกภายนอกว่าเป็นอย่างไร เราชอบดูรายการสารคดีท่องเที่ยวมากๆ ดูทุกครั้ง แม้จะเป็นที่เดิมๆก็ยังดู ก็ดูแล้วมันมีความสุขนี่นา ดูแล้วก็คิดว่าสักวันต้องไปเยือนให้ได้

ความฝันมาเป็นจริงเมื่อตอนมาเรียนต่อโทนี่เอง ภาคค่ำมีโปรแกรมไปทัศนศึกษาที่แอลเอ อเมริกา เค้าให้ภาคปกติปร่วมแจมได้ โอกาสมาถึงแล้ว มีหรือจะรีรอ เราไปกับเพื่อนในกลุ่มอีกห้าคน รวมเป็นหกคน นั่นคือครั้งแรกที่ได้มีโอกาสไปต่างประเทศ (แต่กว่าจะได้ไป ต้องผจญภัยในประเทศจนเหนื่อย ก็มีใครไม่รู้มาสวมรอยทำพาสปอร์ตตัดหน้าเราไปแล้ว แล้วจะเล่าให้ฟังทีหลัง) ตื่นเต้นมากเลย ยังจำได้ดีเมื่อเท้าแตะอเมริกาครั้งแรก ความรู้สึกมันบอกว่า เราไม่ได้ฝันไป เราได้มาถึงแล้วจริงๆ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราคิดว่า หากมีโอกาส จะกลับไปเยือนอีกครั้ง แถมด้วยความรู้สึกว่า อยากไปเที่ยวรอบโลก หากมีโอกาส

แล้วเรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร นั่นสิ ก็ยังงงๆอยู่เหมือนกัน เป็นเพราะเราคงเบื่ออะไรหลายๆอย่างที่เมืองไทย เบื่องาน เบื่อคน มีเรื่องมากมายในที่ทำงาน อีกอยากอยู่มาเกือบสิบปี คงถึงจุดอิ่มตัวแล้วด้วยมั้ง เลยเริ่มมองหางานใหม่ เพื่อนใหม่ๆ เริ่มหาความรู้มากขึ้น สิ่งนึงคือ ได้ไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติม เราคิดว่า เรียนอย่างเดียวคงไม่พอแน่ อย่ากระนั้นเลย ต้องหาฝรั่งจริงๆมาคุยด้วย ถึงจะได้ผล

และแล้วเราก็ได้เหยื่อมา 3 คน คุยไปคุยมา เหลือสองคน เราโชคดีนะ ที่ได้เจอฝรั่งใจดี ยอมคุยด้วยอย่างเพื่อนจริงๆ เท็ด ฝรั่งอเมริกัน ผู้มีเรื่องมากมายมาเล่าให้ฟัง และยังฝึกให้เราเขียนเรื่องต่างๆไปให้อ่าน เราเรียนรู้ภาษากับเค้าได้มากมาย จากที่ต้องนั่งร่างคร่าวๆก่อนพิมพิ์ จนกระทั่งพิมพ์ได้เลยโดยไม่ต้องมีสำเนา ต้องขอบคุณจริงๆ แม้กระทั่ง เราแต่งงานมาแล้ว เค้าก็ยังส่งซีดีเรียนภาษาดัชท์มาให้เราเลย ขอบคุณจริงๆ

หนุ่มที่สอง เป็นชาวฮอลแลนด์ คนที่กลายมาเป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุดในตอนนี้ หนุ่มนี้เราเคยไม่แยแสตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นรูปแล้วล่ะ (แหม ก็ต้องดูหน้าตานิดหน่อย จะได้กระชุ่มกระชวย มีกำลังใจฝึกภาษา เนอะ) แต่เพราะหาไปหามาจนลืมมั้ง ไม่ได้สนใจดูรูปอีก ก็เลยเลือก เอานี้ล่ะวะ คุยไปสักพัก เออ ดูสุภาพ เรียบร้อยดี เค้าส่งรูปมาให้ดู เอ้า ตาคนนี้เองเหรอ เออ ช่างมันเถอะวะ มันคุยดี เลยคุยต่อ (จนต้องตามมาคุยกะเค้าที่นี่อีก อิอิ) ลืมบอกไป หนุ่มนี้ชื่อบาร์ทจ้ะ

บาร์ทนี่มีเรื่องมากมายมาเล่าให้ฟัง ส่วนใหญ่จะเป็นเหตุการณ์ปัจจุบัน ยังเคยคิดเลยว่า เค้าน่าจะเป็นนักข่าวมากกว่านะ เค้าชอบท่องเที่ยว เราจึงมีโอกาสได้พบกันที่เมืองไทย เค้าดูทึ่มๆ เงียบๆ เรียบร้อย พูดน้อย ต่างจากฝรั่งทั่วไปที่เคยเห็น อาจเป็นเพราะอย่างนี้มั้ง ที่ทำให้เราคบกับเค้าได้อย่างสบายใจ

เค้ากลับไปแล้ว แต่เราก็ยังติดต่อกันอยู่เรื่อยๆ และแล้วเราก็มีโอกาสได้ไปเยี่ยมเค้าที่ฮอลแลนด์ ที่เรากล้า เพราะว่าเผอิญมีพี่ชายลูกของลุงเปิดร้านอาหารไทยอยู่ที่นี่ เราจึงกล้ามา ไม่งั้นก็คงไม่กล้ามาแน่ๆ หรือว่าดวงมันจะคู่กันก็ไม่รู้นะ ก็ได้มารู้จัก พ่อแม่พี่น้อง ของเค้า เออ ใช้ได้แฮะ จากนั้นอีกไม่นาน เราก็ตัดสินใจมาอยู่ที่นี่ เพื่อที่จะได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน อีกอย่าง อย่างที่บอกตอนนั้นมันกำลังเบื่อๆ เลยกะว่า มาอยู่ซักปีก่อน ถ้าอยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็กลับไปเริ่มหางานใหม่ เพราะยังไงก็จะลาออกอยู่แล้วนี่นะ ใครๆก็ค้าน ไม่กลัวเหรอ ตอนนั้นใจมันคิดว่า พี่อยู่ทั้งคน อีกอย่าง คิดว่าถ้าไม่ตัดสินใจทำอย่างที่ใจนึก เดี๋ยวจะมาเสียใจภายหลังว่า ทำไมไม่ทำนะ ถึงแม้ว่าผลมันจะออกมาเป็นอย่างไร ก็ยังดีที่ได้ทำ แม้บางครั้งรู้สึกเสียดายชีวิตที่เมืองไทย แต่ชีวิตคนเรา ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง ก็ต้องยอมรับว่า ทางเดินนี้เราได้เลือกมันแล้วนี่นา

มาอยู่นี่ช่วงแรกยังไม่ได้ทำอะไร โรงเรียนก็ยังไปไม่ได้ ต้องรอตามขั้นตอน แต่ก็ไม่เหงาเท่าไหร่ อาจเพราะยังตื่นเต้นกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ว่างก็ไปเที่ยวหาพี่มั่ง ไปช่วยเค้าในร้านมั่ง พี่พาเที่ยวมั่ง บาร์ทก็พาเที่ยวทั่วฮอลแลนด์ ก็เลยเพลิดเพลิน แต่พอเข้าเดือนที่สี่ที่ห้า มันเริ่มผ่านจุดตื่นเต้นมาแล้ว โรงเรียนก็ยังไม่เปิด ตอนนี้ล่ะ ที่เริ่มคิดถึงบ้าน คิดถึงงานที่เคยทำ เลยพาลคิดไปถึงว่า เรามาทำอะไรที่นี่วะเนี่ย ก็หนักเหมือนกัน แต่พอโรงเรียนเปิดเทอม ต้องไปเรียนทุกวัน ก็หายบ้าไปได้เหมือนกันนะ พอได้ไปเรียนก็ได้เจอเพื่อนจากหลายๆชาติ แน่นอนรวมทั้งคนไทยด้วย มันก็เริ่มดีขึ้น ชีวิตมันมีอะไรทำ ไม่อยู่ว่างไปวันๆ แม้จะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เบื่อ ที่ไม่ชอบ แต่ก็อยู่มาได้เรื่อยๆ จนถึงวันนี้ก็เกือบห้าปีซะแล้ว


ไปเก็บของที่ทำงาน วันสุดท้ายแล้ว นึกแล้วเสียดายเหมือนกัน


ก่อนมาเนเธอร์แลนด์ ไปกินข้าวกับเพื่อนที่ฉะเชิงเทรา


ไปเที่ยวจันทบุรี

07 February 2005

วันแต่งงาน

Lieve Bart, ik heb deze gemaakt omdat ik je wil laten zien dat ik dit jaar onze trouwdag niet vergeten ben!

อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันครบรอบแต่งงานแล้ว ปีที่เท่าไหร่ จำไม่ได้ เดี๋ยวต้องนับก่อน อ้อ 4 ปีแล้ว(หยิบแหวนขึ้นมาดู 9 มีนาคม 2001เลยนับถูก 5555) นี่แหละคือตัวเรา ไม่ได้จดจำ ไม่ได้นั่งนับเลย เวลาใครถามตอบไม่ค่อยได้ ต้องนึกก่อน เราแต่งปีไหนวะเนี่ย บางทีก็รู้สึกว่าตัวเองใช้ไม่ได้เลย แต่ช่างมันเหอะ ยังไงก็ยังมีคนนึงที่จำมันได้ล่ะนะ ไม่คิดว่าจะได้แต่งงานเล๊ย ก็เลยสามสิบมาแล้วนี่นา พอได้แต่ง ก็เลยแต่งซะสองรอบเลย


ทำการ์ดแต่งงานเองสองภาษาในหน้าเดียวกัน





28 กุมภาพันธ์ 2001

แต่งรอบแรกที่เนเธอแลนด์ แม่กับน้องสาวคนที่สามมาร่วมงาน ก็มีป้าเพื่อนแม่อีกคนมาด้วย แต่งที่เมือง
Delftเลือกแต่งที่เมืองนี้เพราะห้องแต่งงานสวยมาก แล้วก็ร้านอาหารของพี่ก็อยู่ที่เมืองนี้ด้วย แต่งเสร็จก็เลี้ยงที่ร้านพี่เลย ง่ายดี จริงๆไม่กะมีงานเลี้ยงหรอกนะ เพราะทุนทรัพย์ไม่พอ แต่ว่าพ่อแม่บาร์ทออกให้ เราเลยมีงานเลี้ยงที่นี่








9 มีนาคม 2001

หลังจากแต่งรอบแรกไปแล้ว สองวันหลังจากนั้นก็เดินทางกลับไปแต่งตามประเพณีไทย ฝ่ายบาร์ทก็มีพ่อแม่กับน้องสาวแล้วก็เพื่อนพ่อแม่อีกสองคนไปร่วมงานที่เมืองไทย ความจริงเราก็ไม่อยากแต่งอีกรอบหรอกนะ แต่อันนี้ต้องทำให้แม่น่ะ ให้เค้าได้สบายใจน่ะ แล้วก็ยังมีเพื่อนๆที่เมืองไทยอีก แต่ก็ทำแบบเรียบง่าย เลี้ยงพระเช้า รดน้า แล้วก็กินเลี้ยงตอนเที่ยงที่บ้านเลย ไม่ได้จัดงานที่โรงแรมหรอก ก็เชิญเพื่อนสนิทๆ แล้วก็แขกของแม่อีกนิดหน่อยเท่านั้น แต่เอาเข้าจริงก็เยอะเหมือนกัน แต่งเสร็จ เราไปเที่ยวกันที่เกาะสีชัง 2 วันแล้วก็กลับเนเธอร์แลนด์เลย

เรื่องไปเที่ยวเกาะสีชังเนี่ย ก็เถียงกันแทบแย่เลยนะ ก็ชื่อนะสิ มันเป็นมงคลซะที่ไหนเล่า (มิน่าถึงได้กัดกันเป็นระยะๆ) อธิบายยังไง มันก็ยืนยันจะไปอยู่ดี แล้วด้วยระยะเวลาแค่สองวัน เกาะเสม็ดเราก็เคยไปกันมาแล้ว เกาะช้างก็ไกลไป เราก็เลยไปก็ไปวะ เล่าให้ใครฟัง เค้าก็หัวเราะกันทุกที ไปไหนไม่ไป ดันไปเกาะสีชังหลังแต่งงาน แล้วจะมีคู่ไหนที่เป็นแบบเรามั่งมั้ยเนี่ย


04 February 2005

เพื่อนใหม่



เพื่อนใหม่ของเรานั้น ไม่ใช่คนเป็นๆ แต่เป็นจอสี่เหลี่ยม มีแป้นพิมพ์ ใช่แล้วล่ะ เพื่อนใหม่ของเราคือคอมพิวเตอร์นั่นเอง มันคือเพื่อนของเราจริงๆนะ ในยามที่เราต้องมาอยู่ต่างแดนอย่างนี้ เพราะอยู่นี่เราไม่สามารถจะพูดคุยกับแม่ กับพี่น้อง กับเพื่อนๆได้ง่ายเหมือนก่อนอีกแล้ว ไม่ได้พบกันเหมือนก่อนอีกแล้ว สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้คลายเหงาลงได้บ้างคือ เจ้าคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เนตนี่เอง

มาอยู่ที่นี่เราได้รู้จักเพื่อนใหม่ ทั้งไทยและต่างชาติจากโรงเรียน (เพราะต้องไปเรียนภาษาดัชท์ในปีแรก)เรามีเพื่อนน้อยมาก คงเป็นเพราะบุคลิกของตัวเองมั้ง คือจะว่าคุยกับคนอื่นได้ง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก มันขึ้นอยู่กับหลายๆอย่างนะ แบบถ้าคุยแล้วมันไม่คลิ๊ก คุยกันคนละเรื่อง เราก็ไม่คุยต่อแล้ว หรือดูหน้าแล้วไม่เข้าเค้า ก็ไม่เอาอีก อิอิตอนนี้ก็เลยมีเพื่อน(ที่คบกันมาจากโรงเรียน)ที่เป็นคนไทยที่คุยกันจริงจังสองคน (แต่ดันอยู่คนละเมือง)และคุยแบบธรรมดาหนึ่งคน(แบบมีระยะห่างนิ๊ดนึง) มีเพื่อนคนไต้หวันหนึ่งคน เท่านี้แหละ (ส่วนเพื่อนชาวดัชท์ก็พอมีบ้างประปราย) แต่พอเรียนภาษาจบ มันก็ห่างๆกันไป อีกทั้งระยะทางด้วย อยู่กันคนละเมือง ก็เลยไปมาหาสู่กันได้น้อย ได้แต่คุยกันทางโทรศัพท์ ก็ยังดีนะที่ยังได้คุย ไม่งั้นคงตายแน่

หลังจากเรียนจบ ก็ดันท้องอีก แถมแพ้ท้องขนาดหนัก ใครๆเค้าแก็แพ้นิดหน่อย แต่เราชอบเยอะๆมั้ง เลยแพ้มันจนตลอดนั่นแหละ ก็เลยต้องนั่งเฝ้าบ้านเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ (ทั้งๆที่ไม่มีทรัพย์จะให้เฝ้า) แต่ยังดียังมีคอมพิวเตอร์ เอาไว้ให้หาอะไรอ่านแก้เซ็ง แรกๆก็อ่านอย่างเดียว เปิดนั่นเปิดนี่ อ่านอะไรไปเรื่อยเปื่อย จนคลอดลูกเลยต้องหยุดไปชั่วคราว เพราะเลี้ยงช่วงแรกเหนื่อยจนแทบไม่อยากจะทำอะไรเลย อย่าว่าแต่จะจับคอมเลย ทีวีก็แทบจะไม่ได้ดู มันเหนื่อยเหลือเกิน ก็ต้องเลี้ยงเองคนเดียวนี่

จนเมื่อสองปีก่อนลูกโต เริ่มมีเวลาขึ้นนิดนึง เราจึงได้กลับมาหาเพื่อนเก่าของเราอีกแล้ว มันยังอยู่ดี ก็เจ้าคอมพิวเตอร์และโลกแห่งอินเตอร์เนต กลับมาคราวนี้มันได้แนะนำเราให้รู้จักเพื่อนใหม่ๆอีกหลายคน จุดเริ่มต้นมาจากที่เราได้เข้าไปเวปไซต์คู่สร้างคู่สม ที่นั่นทำให้เราได้รู้จักใครหลายๆคนอย่างเงียบๆ ไปอ่านที่เค้าคุยกัน ก็สนุกดี บางครั้งนึกอยากคุยด้วย แต่ก็ยังไว้ตัวอยู่ อิอิ ไม่ใช่ๆ มันแปลกๆ เพราะไม่เคยคุยแบบนี้มาก่อน แต่ก็มาอดใจไม่ไหว เมื่อมาเจอแก๊งนึงเข้า เค้าคุยกันสนุกดี (จะว่าบ้าบอ กัวเค้ามาถล่มเอา อิอิ) ยังๆๆๆ ยังไม่กระโจนลงไปนะ แต่แค่ติดตามเป็นแฟนคลับก่อน แบบว่าตามอ่านไปเรื่อยๆ นั่งขำอยู่คนเดียว กลัวตัวเองบ้าเหมือนกัน อยากคุยกะเค้าเหมือนกัน แต่ก็รีๆรอๆ เพราะหลายคนก็อายุอ่อนกว่าเรามากอ่ะ กลัวเค้าไม่ให้เข้ากลุ่ม แต่มันก็อดใจไม่ไหวเลยขอเข้าไปร่วมวงกะเค้าด้วยดีกว่า ก็คุยตีซี้เค้าไปเรื่อยๆ จนเค้าให้ร่วมกลุ่มนี่แหละ อิอิ

เพื่อนใหม่จากโลกอินเตอร์เนตของเรา มาจากหลายๆประเทศด้วยกัน เรียกว่าเป็นแม่บ้านต่างแดนกันทั้งนั้น โดยเฉพาะยุโรป เริ่มจาก เจี๊ยบสวีเดนหรือแม่แคสซี่ ป้าญ่าตรางูจากอังกฤษ สาวพิมจากนอรเวย์ ก็มีหนึ่งหนุ่มคือหนุ่มแทนสวีเดน สี่สาวแห่งสวิสเซอร์แลนด์ ก็มีหนูแจงหน้าทะเล้น หนูเกตุอารมณ์ดี สาวตู่แม่น้องครีม และสาวปาง แต่คนหลังนี้กำลังจะย้ายไปอาฟริกาแล้วล่ะ ต่อมาก็ ใหญ่หรือแม่พลัดถิ่น แล้วก็เล็กน้องสาว จากเยอรมัน อ้อ มีจีน่าอีกคน โอ๊ะๆ เกือบลืมซันนี่แม่ลีนุสไปซะแล้ว มาถึงฝรั่งเศสมีหนึ่งสาว คือตุ๊กตาท่ามะขาม อิอิ ใกล้เข้ามาหน่อย ก็ไหมแม่นาตาลีแห่งเบลเยี่ยม มาถึงเมี่ยงคำออสเตรเลีย และที่จะลืมไม่ได้เลยมาทีไรเป็นขำขี้แตกขี้แตน ก็เจ๊ฉายแห่งอาบูดาบีนะสิ มาทีไรขำทุกที อิอิ

ไม่เคยคิดเลยนะว่า มิตรภาพที่ได้จากเพื่อนจากโลกอินเตอร์เนตมันจะผูกพันและห่วงใยกันได้ขนาดนี้ อาจเป็นเพราะว่าเราต่างก็มาอยู่ต่างแดนเหมือนกัน คงมีความรู้สึกคล้ายๆกัน จึงทำให้เข้าใจความรู้สึกของกันได้ดี

จนเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่ 2004 เป็นครั้งแรกที่เราได้มีโอกาสเจอกับเพื่อนจากโลกอินเตอร์เนต เราไปเที่ยวฝรั่งเศสกัน แถบที่เราไปนั้นก็ไม่ไกลจากสวิสเท่าไหร่นัก เลยถือโอกาสเลยไปเยี่ยมสาวๆทีสวิสกัน นัดกันไปเจอที่บ้านปางที่ซังกาแลนท์ คืนแรกเราไปนอนค้างบ้านหนูแจงบนเขา เจ้าของบ้าน่ารักมากๆ ดานีสามีแจงก็น่ารัก คุยสนุก แถมยกห้องนอนให้เรานอนกัน แล้วตัวแจงกับสามีออกไปนอนที่ห้องรับแขก ต้องขอบคุณมากๆเลยจ้ะ จากนั้นวันถัดไปเราก็ไปบ้านปางกัน เกตุกับตู่ก็หอบลูกมาเจอกับเราที่บ้านปางด้วย เราค้างที่บ้านปางสองคืน ส่วนตู่กับเกตุค้าหนึ่งคืน เป็นช่วงเวลาที่สนุกมากๆ น้องๆน่ารักกันทุกคนเลย วันสุดท้ายที่เราต้องเดินทางกลับ ปางยืนส่งโบกมืออยู่หน้าบ้าน เราใจหายมากเลย มันรู้สึกเหงาๆ บอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอกันอีก แต่ยังไงก็ยังหวังว่าเราคงมีโอกาสได้เจอกันอีกนะ










มาปลายเดือนพฤศจิกายนปี 2004 ไปเยี่ยมแม่พลัดถิ่นที่เยอรมัน เราดีใจมากๆเลยที่ใหญ่เชิญเรากับครอบครัว เราค้างที่นั่นสองคืน ครอบครัวน่ารักมาก มีปู่กับย่าอยู่ด้วย คอยช่วยดูแลหลาน มณฑิกากับมนตรีก็น่ารัก หากมีโอกาสเราจะกลับไปเยี่ยมอีกนะจ้ะ และหวังว่า บ้านเราคงได้มีโอกาสต้อนรับใหญ่กับครอบครัวบ้างนะจ้ะ




ต้องขอบคุณเจี๊ยบสวีเดนหรือแม่แคสซี่แห่งบ้านแม่แคสซี่ที่น่ารักมากๆที่ส่งเทียบเชิญเรามาเข้าแก๊งด้วย ทำให้เรามีที่พบปะพูดคุยปรับทุกข์กัน หากมีโอกาสเราจะตามไปดูเอ๊ยไปเยี่ยมเธอถึงสวีเดนให้ได้จ้ะ เพื่อนๆน้องๆคนอื่นๆด้วยนะจ้ะ เราจะตามไปรังควานเอ๊ยเยี่ยมท่านถึงบ้าน และเช่นกัน บ้านเราก้ยินดีต้อนรับเพื่อนทุกๆคนนะจ้ะ หากมีโอกาสผ่านมาทางนี้ อย่าลืมแวะมาเคาะประตูเรียกนะจ้ะ