18 December 2005

อิตาลีตอนที่ 7 Shiena


Day11 29/08/05

วันนี้ตื่นเช้ามาอากาศดี อุณหภูมิประมาณ 26 องศา วันนี้เราจะไปเที่ยว Siena กัน เมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่สวยที่สุดของอิตาลี่ (อันนี้ตามความเห็นของคนดัชต์เค้านะ)


ทางเข้าตัวเมือง


เข้าประตูเมืองมา ก็เดิมาตามทางลาดชันทีจะนำไปสู่ Piazza del Campo ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของเมือง เป็นแหล่งที่นักท่องเที่ยวและชาวเมืองมานั่งเล่นกัน อีกทั้งตรงกลางลานนั้นใช้เป็นที่แข่งขันม้าแข่งที่มีชื่อเสียงที่เรียกว่า Palio ซึ่งจะจัดปีละสองครั้ง ทุกวันที่ 2 กรกฎาคมและ 16 สิงหาคมของทุกปี




Piazza del Campo ที่จัดการแข่งขัน Palio






ทีเห็นด้านหน้ามีหอสูงนั้นคือพิพิธภัณฑ์ Museo Civico


เราไม่ได้เข้าไปข้างในพิพิธภัณฑ์ เพราะรอคิวยาวมากเลย เสียค่าผ่านประตูคนละ 10 ยูโร แล้วก็ห้ามถ่ายรูปด้วย เลยไม่เข้าไปดีกว่า ทั้งๆที่จริงๆก็อยากเข้าไปนะ เพราะสามารถขึ้นไปเดินด้านบนสุดได้ อยากได้วิวอ่ะ แต่ไม่เข้าก็ไม่เข้าวะ

จากนั้นเดินไป Dom of Duomo เป็นโบสถ์ gotische เริ่มสร้างในศตวรรษที่ 12 แต่มาเสร็จเอาอีก 200 ปีต่อมา อันนี้ก็ไม่ได้เข้าไปอีก คิวยาวมากๆๆเลย ทั้งที่เสียงค่าเข้าชมด้วย ลำพังเราคนเดียวน่ะ รอได้ แต่มีลูกเล็กพ่วงไปด้วย เลยอดไปตามระเบียบ เซ็งเมหือนกัน เหมือนไปแล้วไม่ถึงอ่ะ เอ้าเข้าโบสถ์ไม่ได้ ก็เข้าพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ข้างๆโบสถ์นี่ละกัน เสียตังอีกเหมือนกัน แต่คิวไม่ยาว เลยเข้าไปทั้งสามคนเลย ข้างในก็จะมีรูปภาพ หรือภาพเขียนเยอะแยะ ส่วนใหญ่ก็เกี่ยวกับทางศาสนานั่นแหละ ก็ดูๆไป แต่จดที่เราสนใจมากสุดคือ การขึ้นไปด้านบนสุดของพิพิธภัณฑ์ ตรงนี้เราสามารถชมวิวของเมืองได้ พ่อต้องหอบลูกปีนขึ้นไปด้วย แต่ก็ไม่หนักเท่าไหร่

ด้านหลัง Dom of Duomo ต้องถ่ายสูงเพราะด้านล่างมีร้านนั่งดื่มกาแฟ


ทางขึ้นด้านหลัง


ด้านหน้า Dom of Duomo ที่เห็นนั่นเป็นผ้าใบที่คลุมไว้ เพราะอยู่ในช่วงปรับปรุงซ่อมแซม


ด้านข้าง


พิพิธภัณฑ์ข้างๆโบสถ์ ด้านบนสุดนั้นละที่เราขึ้นไปชมเมือง


จากนี้ไปจะเป็นภาพเมืองถ่ายจากด้านบนของพิพิธภัณฑ์








จากนั้นลงมาข้างล่าง เดินมาจนถึงท้ายสุดของพิพธภัณฑ์ ก็เจอส่วนที่เป็นห้องโถง มีแท่นบูชาแล้วก็ภาพเขียนที่สวยงาม




จากนั้นเราก็หาที่กินกลางวันกัน แล้วก็เดินชมเมืองกันต่อ ตึกรามบ้านช่องที่นี่สร้างอยู่บนเนินเขา ลดหลั่นกันไป ดูสวยงามดี เห็นเป็นเมืองเล็กๆแบบนี้ แต่มีย่านชอ๊อปปิ้งที่ดูหรูหราและมียี่ห้อดังๆทั้งนั้นเลย แต่ที่เป็นเอกลักษณ์ก็คือ การตากผ้าตากหน้าต่างระหว่างสองตึกนั้นมีให้เห็นโดยทั่วไป อีกอันนึงที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงก็คือ ส้วมสาธารณะ ยังคงเป็นส้วมหลุมแบบนั่งยองๆ แล้วก็ยองแบบติดพิ้นซะด้วย ไม่มีการทำสูงขึ้นมา ถ้าเป็นคนแก่ๆที่ข้อไม่ค่อยดี ก็ลำบากหน่อย ส่วน มชล มักไม่ค่อยยอมเข้า เนื่องจากไม่คุ้นเคย ต้องบังคับและช่วยเค้า เค้าถึงจะยอมฉี่







ช่วงระหว่างตึกซึ่งจะเห็นได้ทั่วไป ชอบนะ ดูสวยดี



หลังจากเดินชมเมืองจนพอใจแล้ว เราก็ออกเดินทางต่อ โดยขับรถไปตามเส้นทางที่เป็นถิ่นปลูกไวน์ ภูมิประเทศเป็นเขาเตี้ยๆจนถึงสูงปานกลางสลับกันไป ก็ดูเพลิดเพลินไปอีกแบบนึง แต่วนนานๆ เราชักจะเวียนหัวแล้ว เพราะไม่ได้กินข้าวอ่ะ กินแต่ขนมปัง ไม่ไหวๆ ร่างกายมันเรียกร้องจะกินข้าว ฮ่าๆๆๆๆๆๆ กลับที่พักดีกว่า แต่ก่อนกลับก็แวะไปยังโบสถ์เก่าแก่แห่งนึงที่ตั้งอยู่ในเส้นทางนี้ จำชื่อไม่ได้แล้ว ข้างในก็ธรรมดา ไม่ได้สวยอะไรมากมาย เพียงแต่อยู่ในทำเลที่สวยดี




05 December 2005

อิตาลี ตอนที่ 6 Toscane

Day9 27/08/05

วันนี้เราต้องออกจากแคมปิ้งแล้ว ตื่นกันตั้งแต่ 7 โมงเช้า เพราะต้องออกจากบ้านก่อน 9 โมง ตื่นมาเก็บของขึ้นรถ เก็บกวาดบ้านด้วย ไม่ถึงกับต้องทำความสะอาดใหม่เอี่ยม แต่ก็ต้องทำให้เรียบร้อย เพราะก่อนออก จะมีเจ้าหน้าที่มาดู ถ้าทำเลอะเทอะไว้ จะไม่ได้เงินมัดจำ 100 ยูโรคืน อันนี้เป็นกฎของแคมปืปิ้งเกือบจะทุกที่ เราออกเดินทางประมาณ 9.30 น. แวะกินอาหารเช้าริมถนนทางด่วนในเขตเวโรนา จากนั้นก็ขับรถมุ่งหน้าสู่แคมปิ้งที่หมู่บ้านเล็กๆชื่อBucine ในแคว้น Toscane


Toscane เป็นแคว้นที่อยู่ตอนกลางของประเทศอิตาลี่ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแคว้นที่มีความสวยงามมากที่สุดในประเทศ เนื่องจากมีภูมิประเทศเป็นเนินเขาสูงต่ำสลับกันไป เมืองเก่าๆแต่ละเมืองจะสร้างอยู่บนเนินเขา มีกำแพงรายล้อม ที่นี่ยังเป็นบ้านเกิดของศิลปินในยุค Renaissance ที่มีชื่อเสียงคือ Leonardo da Vinci, Botticelli และ Dante Alighieri ซึ่งเป็นนักเขียน นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นแหล่งผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งปลูกอยู่ในเขต Chianti, Morellino di Scansano และBrunello di Montalcino

จังหวัดต่างๆในแคว้นนี้ประกอบไปด้วย Arezzo, Florence, grosseto, Livorno, Lucca, Massa-Carrara, Pisa, Pistoia, Prato และ Siena

ภูมิประเทศในแคว้น Toscana





















บ่ายโมงกว่าๆ เราก็มาถึงที่พัก แคมปิ้งนี้ดูร่มรื่นเงียบสงบกว่าที่ที่แล้วมาก อาจเป็นเพราะเป็นช่วงปลายซัมเมอร์แล้วก็ได้ นักท่องเที่ยวเลยน้อยลง แต่ที่สังเกตได้คือ ส่วนใหญ่เป็นคนดัชต์แทบทั้งนั้นเลย มีเยอรมันประปราย ซึ่งต่างจากที่เก่า ที่นั่นเยอมันเยอะมากพอๆกับคนอิตาลีเจ้าของประเทศเอง

เราได้บังกาโลในทำเลที่เหมาะมากเลย ตรงนั้นมีแค่สองหลังหันหน้าเยื้องกัน ดูเป็นส่วนตัวดี ตรงส่วนอื่นจะเป็นลักษณะคล้ายห้องแถวเรียงกันไป หลังจากเก็บของเสร็จ ก็ไปหาอะไรกินกัน ก้กินในแคมป์นี่ล่ะ มันร้อนขี้เกีจออก อีกอย่างตอนนี้ซุปเปอร์ประจำหมู่บ้านปิด ต้องรอเปิดตอน 4 โมงครึ่ง คนขายของในแคมป์เป็นหญิงวัยสูงอายุ 2 คนพี่น้อง อัธยาศัยดีมากๆ (แม้เค้าจะพูดอังกฤษได้น้อยมากก็ตาม) สั่งมักกะโรนีมากิน(อีกแล้ว) คือที่สั่งเพราะไม่รู้จะสั่งอะไรดี อีกอย่าง มชล ก็ชอบกิน สั่งอย่างอื่นเค้าจะไม่ค่อยกิน จะเสียเงินเปล่าๆ อืม ผัดใส่เนื้อมา หอมน่ากิน หรือด้วยความหิวก็ไม่รู้ซัดซะเรียบเลย ทั้งๆที่ไรม่กินเนื้อ แต่ด้วยความหิวเลยไม่สนใจล่ะ เผอิญมันเป็นเนื้อสับ เลยพอจะกินเข้าไปได้ กินเสร็จก็เดินสำรวจแคมป์กัน แล้วก็ปล่อยให้ มชล เล่นที่สนามเด็กเล่น ที่นี่มีสระว่ายน้ำสองสระ อยู่ในบริเวณเดียวกัน ใหญ่กว่าแคมป์ที่แล้วมาก แล้วก็ไม่วุ่นวายด้วย

บ่ายสามกว่าๆ ออกไปเดินสำรวจหมู่บ้านใกล้ๆ ก็เป็นหมู่บ้านเล้กๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ หรือมีก็ไม่รู้ แต่เดินไม่ไหวแล้ว มันร้อนมากๆ ใกล้เวลาซุปเปอร์มาเก็ตเปิดก็มานั่งคอยดีกว่า พอได้เวลาก็เปิด เข้าไปเลือกๆซื้อของไว้ทำกิน สรุปวันนี้เราไม่ทำอะไรมาก ถือว่าพักเอาแรงไว้ในวันต่อไป วันนี้เราเข้านอนกัน 3 ทุ่ม ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ที่นี่ไม่มีทีวีดูอ่ะ (ที่เก่ามีทีวีด้วย)

Day10 28/08/05


วันนี้ฝนตกตั้งแต่ตีห้า ตกๆๆๆๆๆๆ แล้วมันก็ตกทั้งวันเลย ไม่ได้ทำอะไร นั่งจับเจ่าอยู่แต่ในบ้าน สลับกับเล่นกับ มชล บาร์ทเริ่มเบื่อ พอฝนเริ่มซาๆ เธอก็จะชวนออกนอกบ้านไปขับรถเที่ยวชมวิวกัน ไม่ต้องลงจากรถก้ได้ ก็ฝนมันตกจะชมอะไรล่ะ ไหนว่าจะพักผ่อนไง ก็ได้พักแล้วไงล่ะ ฝนตกพรำๆแบบนี้ เย็นๆดีออก นอนอ่านหนังสือสบายใจดีออก เอานิยายแปลไปด้วย สนุกมากๆเลย ฝนตกจนถึงสี่โมงเย็นแน่ะ ตกลงวันนั้นเราก้เลยไม่ได้ไปไหน ได้พักกันจริงๆ

19 November 2005

อิตาลี ตอนที่ 5 Malcésine

Day8 26/08/05

วันนี้ตั้งใจว่าจะไปเมือง Malcésine ซึ่งอยู่ตอนบนของทะเลสาป จะไปขึ้นเคเลิ้ลเพื่อขึ้นไปเดินเล่นบนยอดเขา Monte Baldo ซึ่งสูงถึง 2132 เมตรจากระดับน้ำทะเล แต่ดูท่าแล้วน่าจะไม่ได้เดิน เพราะวันนี้อากาศไม่ดี ท้องฟ้าขะมุกขะมัว มีเมอกลง แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ตั้งใจจะไปก็ไปดีกว่า เผื่อว่ากลางวันอากาศอาจจะดีขึ้น ปล่อยให้ มชล ไปเล่นกับเพื่อนซักพักนึงก่อน ใกล้ 11 โฒงเราก็ออกเดินทางกัน

เราขับรถเลียบทะเลสาปไปเรื่อยๆ และไปลงเรือข้ามฟากเพื่อร่นระยะทางที่เมือง Maderno จากนั้นกขับรถต่อไปยังที่หมาย ชายฝั่งด้านตะวันออกนี้ เราว่าสวยกว่าด้านตะวันตกอีกนะ มีหาดกว้างกว่าแล้วก็เป็นหินขาวๆก้อนเล็กๆ น่ามองไปตลอดทาง ไม่นานเราก็ถึงเมือง Malcésine ก่อนจะไปขึ้นเคเบิ้ล ก็ต้องหาอะไรรองท้องกันก่อน ระหว่างที่มองหาที่กินกลางวัน เราก็อดใจที่จะไม่เดินดูเมืองไหว ก็มันน่ารักมากๆเลย แต่ก็ต้องตัดใจ เอาไว้ค่อยกลับลงมาดู ขืนชักช้าจะอดขึ้นซะเปล่าๆ แต่ชนาดว่ารีบแล้วก็เกือบบ่ายสามแล้วถึงได้ขึ้น เพราะต้องรอ มชล กินข้าว แล้วก็เดินๆๆ จะมาเดินจ้ำแบบเราก้ไม่ได้ ก็เลยต้องช้าแบบนี้แหละ

ท่าเรือที่เมือง Maderno





ฝั่งตรงข้าม Maderno

บ้านเรือนในเมือง Malcésine

กินกลางวันที่ร้านริมทางน่ารัก

เดินไปเล่นไป กว่าจะได้ขึ้นเคเบิ้ล


เคเบิ้ลที่เราจะขึ้นนี้เพิ่งสร้างเมื่อปี ค.ศ.2002 นี่เอง ค่าขึ้นไปกลับคนละ 13.50 ยูโร เป็นแบบหมุนได้รอบ 360 องศา ใช้เวลาเพียง 10 นาที ก้จะขึ้นไปถึง de Monte Baldo ข้างบนมีสองสถานี เราสามารถลงที่สถานีแรกด้านบน เพื่อหยุดเดินเล่นหรือชมวิว เรามาถึงจุดแรก ยังพอจะมองเห็นวิวข้างล่างได้มั่ง แต่ก็ไม่ชัดเจนเพราะหมอกลง หลังจากนั้นก็ขึ้นต่อไปยังสถานีบนสุด ซึ่งตรงจุดนี้จะสูง 1760 เมตรจากระดับน้ำทะเล จริงๆตั้งใจจะขึ้นไปเดินเล่นและไปให้ถึงจุดที่สูงที่สุด เพื่อไปชมวิวด้วย แต่ว่าวันนั้นเราไม่สามารถเดินไปได้ เพราะหมอกลงจัดมาก จนมองไม่เห็นป้ายบอกทางเลย อาจหลงทางหรือเดินตกเขาได้ เลยเดินได้แค่นิดหน่อยก็ต้องกลับมานั่งจิบกาแฟที่ร้านใกล้ๆสถานี แล้วก็ตัดสินใจลงมาเที่ยวในเมืองกันดีกว่า

เราจะขึ้นไปด้วยกระเช้าแบบนี้แหละ ภาพนี้จากเวปท่องเที่ยว

จุดเปลี่ยนเคเบิ้ล

กำลังจะขึ้นไปชั้นบนสุด

สถานีบนสุด ภาพนี้จากเวปท่องเที่ยว

ในเคเบิ้ล

จากที่เห็นนี้เรากำลังจะขึ้นไปสถานีบนสุดชั้นที่สอง



หมอกลงหนามาก


วิวทะเลสาปด้านมองจากด้านบน ภาพจากเวปท่องเที่ยว

ลงมาจากข้างบนนั่งพักเติมพลังกันก่อน



จากตรงนี้เดินไปก็จะเห็นทะเล

ยอดปราสาทที่เรากำลังจะไปดูกัน

มองจากทะเลเข้าไป ภาพนี้เอามาจาวเวปท่องเที่ยว



ลงมาข้างล่างแดดจ้าเชียว นั่พักกินแอปเปิ้ลกันแล้วก็เดินต่อ เราว่าเมืองนี้น่ารักกว่าทุกๆเมืองเลย ร้านค้าบ้านช่องจะอยู่บนเนินลดหลั่นสลับกันไป แค่เดินชมบ้านเราก็ไม่เบื่อเลย เอกลักษณ์ที่ขาดไม่ได้คือ การตากผ้าโดยโจ่งแจ้ง บางทีก็คร่อมถนนเลย ดูบ้านดูช่องรวมทั้งมองๆหาที่กินตอนเย็นไปด้วย จากนั้นยังมีเวลา เราก็จะไปสำรวจปราสาทริมทะเลกัน ชื่อปราสาทนี้ก็ดันจำไม่ได้ซะอีก ได้แผ่นพับข้อมูลมาด้วย แต่หาไม่เจอซะแล้วตอนนี้ ก็เลยข้ามเรื่องราวนี้ไปก็แล้วกัน เราขึ้นไปถึงด้านบนสุดด้วย ก็มาแล้วก็อยากจะดูให้มันละเอียด สองพ่อลูกรออยู่ด้านล่าง เพราะมันสูงมาก กลัวจะเอา มชล ไม่ทัน เวลาถ้าเค้าอยากทำอะไรเอง แล้วเนี่ย ห้ามไม่ฟัง แถมจะคอยวิ่งหนีอีกด้วย เลยให้อยู่ข้างล่างนั่นแหละ

ขึ้นมาแล้วก็ไม่ผิดหวังเลย จากบนยอดนี้สามารถมองเห็นวิวของเมืองนี้ สวยงามมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านชายฝั่งทะเล หรือฝั่งทางด้านที่อยู่อาศัย เราใช้เวลาข้างบนนานพอสมควร ไม่ใช่อะไรหรอก ก็กว่าจะเดินขึ้นไปถึงนะ เหนื่อยเอาการ

ทางขึ้นปราสาท





วิวจากปราสาท

















วิวจากด้านยอดปราสาทส่วนกลาง

อาวุธไว้ยิงผู้รุกราน

สองพ่อลูกรอข้างล่าง มิสามารถปีนขึ้นมาได้

มุมหวาดเสียว กลัวตก

แบบนเนี้ย กลัวป่าว

อันนี้ตั้งใจถ่ายนกที่เกาะตามหน้าผา



ลงมาจากปราสาทแล้ว เราก็เริ่มมองหาที่กินข้าวกันล่ะ ถ้าร้านที่อยู่ด้านในๆ ส่วนมากจะเป็นแบบสแน๊คบาร์ซะมากกว่า หรือไม่งั้นก็จะเป็นร้านแบบทึม ต้องนั่งในร้าน ไม่เอาดีกว่า มันอึดอัด เดินไปรอบๆริมทะเล น่านั่งทั้งนั้นเลย แต่ๆๆๆ ราคาแพงจัง แถมคนก็เยอะมากๆเลยอ่ะ ดูมันวุ่นวาย เอ้าเดินหาต่อไป เกือบปลายหมู่บ้านแล้ว จนไปเจอร้านนึง ดูหน้าร้านท่าทางไฮโซ อาหารก็ราคาแพง คนก็ไม่เยอะด้วย แต่ที่น่าสนใจคือมีเมนูกุ้งเผาด้วย หันไปมองหน้าผู้รวมทาง แล้วบอกว่า เอาร้านนี้แหละนะ มื้อสุดท้ายที่ทะเลสาปแห่งนี้ เพราะพรุ่งนี้เราต้องไปที่ใหม่แล้ว แพงก็ช่างเหอะ อยากกินมากๆเลย เป็นอันว่าตกลง เดินเข้าไปข้างในสุด โอ บรรยากาศดีมากๆเลย ได้นั่งติดทะเลด้วย เราก็แบบเกร็งนิดๆเพราะแต่งตัวแบบโทรมๆกันเลย บริกรสุภาพมากเลย เป็นกันเอง ไม่ทำให้เราดูตัวลีบ มีการมาแนะนำพนักงานที่จะคอยดูแลโต๊ะเราด้วย เราสั่งกุ้งเผา ของบาร์ทสั่งสเต๊กเนื้อ มชล สั่งมักกะโรนี ในนั้นจะมีแต่จานใหญ่ๆ พนักงานก็ถามว่า ต้องการเป็นจานเล็กใหม่ เพราะสำหรับเด็กมันจะเยอะไป ดีมากเลยค่ะ พอถึงเครื่องดื่ม บาร์สั่งเบียร์ เรานึกกระแดะขึ้นมาหรือไงไม่รู้ สั่งไวน์ขาวค่ะ ก๊ากกกก ปกติจะกินได้แค่แก้วเดียวเท่านั้นแหละ ก็สั่งไปว่าหนึ่งแก้ว แต่พอเค้ามาเสริฟ มาเป็นเหยือกเล็กค่ะ ประมาณสองแก้วได้ ตายละหวา ต้องซัดคนเดียวด้วย เอาก็เอาวะ แล้วจะบอกว่าผลเป็นไง อิอิ

อาหารมาเสริฟแล้ว ของบาร์ทจานใหญ่เชียว ของเราก็ใหญ่นะ แต่กุ้งน่ะมีแค่หกตัวเอง แต่ยังดีที่ไมใช่ตัวกะจิ๋ว แต่อร่อยมากเลย
บาร์ทมาขอชิมด้วย เราบอกไม่ได้หรอก มีแค่นี้เองง่ะ ชั้นก็ไม่อิ่มน่ะสิ มีหวงกินด้วย ก๊ากกกกก จริงๆไม่ใช่อะไรหรอก มชล ก็จะกินด้วย สำหรับลูกไม่หวง แต่รู้งี้สั่งให้เค้าด้วยซะตอนแรกก็ดีแล้ว ฮืมๆๆ มื้อนี้ไม่เสียดายตังเลย อร่อยจริงๆ ตอนมาจ่ายตังที่เคาเตอร์ (ร้านนี้แปลก จะมาจ่ายตังที่เคาเตอร์ด้านหน้า) เค้าแถมเหล้าอะไรไม่รู้ แช่เย็นไว้นะ คนละแก้วเล็กๆ ก็ดื่มไปด้วย อึ๋ย รสขมๆหวานๆบอกไม่ถูก แต่ที่แน่ๆร้อนวาบเลย

หลังจากกินเสร็จ ก็ออกมาเดินย่อยอาการกัน ร้านค้าบางร้านยังไม่ปิด ก็เดินดูไปเรื่อย มาเจอเสื้อคลุมยีนส์ตัวยาวถึงเข่า ลดราคาด้วย อยากได้ เลยไปลอง คนขายก็ดี ซื่อสัตย์ดี เราลองแล้วเค้าบอกว่า มันใหญ่ไปนิดนึงสำหรับเธอนะ คือชอบที่เค้าไม่บังคับขายเราน่ะ โดยส่วนใหญ่เราจะเจอว่า ดีค่ะ สวยค่ะ เหมาะมากเลย ทั้งๆที่เราเห็นแล้วว่ามันไม่ได้เรื่อง แต่เราชอบมากอ่ะ แล้วมันก็แค่ว่าไหล่ตกไปนิดนึง เลยบอกว่า ไม่เป็นไร ชั้นอยากได้ เด๋วให้แม่สามีแก้ให้ก็ได้ ตกลงเราซื้อ ถึงตอนจ่ายเงิน เราจ่ายบัตรเครดิตไป แต่พอเราออกมาจากร้านแล้ว ก็กำลังจะเก็บบัตรเข้ากระเป๋า เอ๊ะ นี่มันบัตรเอทีเอ็มนี่หว่า เราหยิบผิด เพราะสองบัตรนี้หน้าตามันคล้ายๆกัน แถมสีเดียกันอีก (บัตร Postbank)ทำไมเครื่องมันรับวะ แสดงว่าผลของไวน์สองแก้ว แล้วก็เหล้าอีกแก้วเล็กๆ มันออกฤทธิ์น่ะสิ คือจริงๆ เราก็เริ่มมึนๆเบลอๆแล้วล่ะ อิอิ ส่วนที่เครื่องมันรับบัตร ก็คงเพราะมันคือบัตรเอทีเอ็มซึ่งใช้จ่ายเงินแทนการจ่ายสดได้ คือตัดบัญชีทันทีเลย แล้วมันมีตรามาสเตอร์การ์ดอยู่ด้วย มันก็เลยผ่านฉลุย สรุปก็จ่ายสดไปไม่ได้ใช้เครดิต 5555555

กลับลงมาแล้ว

มุมน่ารักๆในหมูบ้าน



นั่นล่ะที่เราปีนขึ้นไป





ในร้านอาหารริมทะเล

บรรยากาศยามเย็น



ขากลับบาร์ทดันขับหลงทางอีก ขับเพลินไม่ได้ดูป้าย เราก็เริ่มเมาแล้วก็ง่วงด้วย ก็เลยไม่ได้ช่วยดู เลยกลับถึงที่พักสี่ทุมกว่าๆ ไปถึงก็ไม่สนใจแล้ว เปลี่ยนชุดนอนเลย ทั้งแม่ทั้งลูก 55555555 มชล ดีใจมากแม่มานอนด้วย (ปกติพ่อจะพาเข้านอน)นอนกอดเราแน่นเลย


จบลงด้วยความอ่อนเพลีย