31 January 2006

London ตอนที่1

Day1 10/12/05

ลอนดอน เป็นอีกเมืองหนึ่งที่เราก็อยากไปนานแล้ว กะว่าได้พาสปอร์ตดัชท์เมื่อไหร่ค่อยไป แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ไปซะที จนมาปลายปีที่แล้วนี้แหละ แต่ก็เป็นทริปที่ไม่ได้ตั้งใจมาก่อน มันก็ปุ๊บปั๊บก็ไปกันเลย เอาลูกไปไว้กับย่า เพราะถ้าเอาไปด้วย ก็คงแค่ได้ชม แต่ไม่ได้ดูแบบละเอียด อีกอย่างก็ไปแค่ 4 วันเอง แล้วก็พักโรงแรมแบบ Hostel คล้ายๆกับ Youth hotel ก็แค่มีที่นอนเท่านั้นเอง เราจองตั๋วสายการบินโลว์คอสเจ้าเก่าของเรา Ryanair

เช้าวันเสาร์ที่ 10 ธค. เราตื่นกันหกโมงเช้า ออกจากบ้านเจ็ดโมง เช้านั้นหมอกลงจัดมาก ยังมืดตึ๊ดตื๋ออยู่เลย สองคนเดินท่อมๆลากกระเป๋าไปขึ้นรถเมล์ จากบ้านไปสนามบิน Eindhoven ก็ห้านาทีเอง ไปถึงเช็คอินเสร็จก็ลากกระเป๋าผ่านช่องตรวจ ของเราก็ผ่านสบาย มีของบาร์ทดันถูกกัก เจ้าหน้าที่เปิดกระเป๋าค้นดู เธอดันมีมีดพกติดอยู่ในกระเป๋าเป้ แหมมันหน้าตื้บมั๊ยล่ะ ก็บอกแล้วให้ตรวจให้ดีก่อน ถามเธอแล้วนะว่าเอาของพวกนี้ออกหมดหรือยัง เธอบอก หมดแล้ว ต้องเสียเวลาเอาของไปฝากไว้ที่เคาน์เตอร์ ให้เค้าส่งไปรษณีย์ เสียค่าส่งไป 5 ยูโร สบายไป แต่ถ้าจะฝากไว้ที่นี่แบบขากลับมาเอา นั่นโหดยิ่งกว่าค่ะ 60 ยูโรค่ะ

จากนั้นเราก็เข้าไปนั่งรอข้างใน แต่มองออกไปหมอกลงจัดมาก มองอะไรไม่เห็นเลย แล้วเธอก็พุดเล่นๆว่า ฉันว่าคงไมได้ไปแล้วล่ะ หมอกลงจัดแบบนี้ เครื่องคงขึ้นไม่ได้ แล้วมันก็เป็นจริงค่ะ เพราะว่าเครื่องออกเก้าโมง ผู้โดยสารก็ไปยืนต่อแถวเพื่อเช็คพาสปอร์ตกันแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ยื่นที่ช่องเตรียมพร้อม แต่ก็ไม่มีใครได้เล็ดลอดออกไปซักคน สุดท้ายก็ประกาศว่า เที่ยวบินนี้ยกเลิกค่ะ เนื่องจากหมอกลงหนามากค่ะ ให้ผู้โดยสารติดต่อที่เค้าเตอร์ของสายการบินเพื่อเปลี่ยนแปลงเที่ยวบิน แป่ว สุดแสนเซ็งค่ะ

เดินออกมาเพื่อจะไปติดต่อว่าเราจะทำไงดี โห แถวยาวโคดๆ สำหรับบาร์ทเป็นอะไรที่เธอรับไม่ได้ค่ะ คนเยอะแบบนี้เธอไม่ชอบอดทนรอ เลยไปถามเจ้าหน้าที่ของสายการบินที่มีอยู่น้อยนิดตรงนั้นว่า ถ้าเราจะไม่เปลี่ยนไฟลต์แต่จะยกเลิกเลยเนี่ย ต้องไปยื่นต่อแถวด้วยมั๊ยเนี่ย เจ้าหน้าที่บอกว่า ถ้างั้นไม่ต้องค่ะ กรอกแบบฟอร์มนี้แล้วแฟ๊กซ์ไปได้เลย เราจะคืนเงินให้ เธอก็เลยเลือกวิธีนี้

ระหว่างนั้น เราก็ลากกระเป๋า(ดีที่ใบเล็กนะ)มารอรถเมล์ เพื่อกลับบ้าน แล้วก็คิดด้วยว่าจะทำไงดี โรงแรมก็จองไว้แล้ว ถ้าไม่ไปยังไงก็ต้องจ่ายเค้าหนึ่งอ่ะ เสียดายสิ แม้จะแค่โรงแรมเล็กๆแต่ก็แพงอยู่ดี ทำไงดีล่ะ หรือจะเข้าไปต่อแถวใหม่แล้วดูว่ามีเมืองไหนใกล้ๆที่เราจะไปขึ้นเครื่องได้มั๊ย แต่เออ ไม่เอาดีกว่า เสียเวลาเดินทางไปอีก งั้นก็มีอีกทาง คือไปทางเรือ แต่ต้องไปขึ้นที่ Hoek van Holland มันจะมีเรือข้ามฟากไปอังกฤษ แต่ปัญหาคือเราไม่ได้จองล่วงหน้า มันจะมีที่เหลือให้เรามั๊ย ยังไงก็ต้องลองดู

กลับไปถึงบ้าน 10 โมง (โชคดีที่บ้านอยู่ใกล้สนามบิน)เปิดอินเตอร์เนตเช็คตารางเดินเรือ โอว มีเรือเร็วของ Stena lines เรือจะออกเวลาบ่ายสี่โมงเย็น จะไปขึ้นที่เมือง Harwith จากนั้นต้องต่อรถไฟเข้าลอนดอน ระยะเวลาเดินเรือสามชั่วโมงครึ่ง ค่าตั๋วสองคนขาเดียวก็100 กว่ายูโร เออ เอานั้นนี้ก็ได้วะ ยังมีเวลาเดินทางไปท่าเรือ จัดการจองตั๋วทางอินเตอร์เนต ( มีอินเตอร์เนตมันก็สะดวกแบบนี้เอง ) จากนั้นก็มาดูเวลารถไฟจาก Eindhoven ไป Hoek van Holland จะใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงได้ เราเลยเลือกที่จะไปตอนนี้เลย ยังไงไปถึงก่อนก็ไม่เป็นไร

ก็จับรถเมล์ไปขึ้นรถไฟค่ะ 10 นาทีเราก็ถึงสถานี ได้ขึ้นรถไฟเที่ยว 11.30 น. ก็คิดว่าไปกันแบบเรื่อยๆสบายๆแล้ว ที่ไหนได้ ยังมีอุปสรรคอีกค่ะ เมื่อวานมีอุบัติเหตุทางรถไฟช่วงที่เราต้องผ่านเนี่ยกำลังซ่อมค่ะ เพราะฉะนั้นมันเหลือแค่เลนส์เดียว ต้องรอค่ะ ต้องรอรถไฟสับราง เป็นไงค่ะ ตอนนี้เริ่มหัวหมุนติ้วแล้วค่ะ ตูจะได้ไปลอนดอนมั๊ยเนี่ย อีกใจนึงก็ใจไม่ดีแล้ว ไม่อยากไป เหมือนกับว่าลางไม่ดีอะไรแบบนั้น แต่ก็ไม่รู้จะทำไงอ่ะ ก็มันติดแหง๊กอยู่บนรถไฟแล้วนี่ ก็ได้แต่ลุ้นอย่างเดียว ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ทำไงดีวะตู แต่ก็ยังนั่งต่ออีก จนกระทั่งรถไฟมันเริ่มวิ่งได้ ก็ลุ้นค่ะว่าจะมีแบบนี้อีกมั๊ยเนี่ย เสียเวลารอไป 45 นาที แล้วในที่สุดเราก็ไปถึงท่าเรือในเวลาบ่ายสามค่ะ ทันเวลา นี่ถ้าเราเลือกรถเที่ยวหลังจากนี้ เราคงไม่ได้ไปแน่ๆเลย



จากเครื่องบินก็กลายมาเป็นเรือลำนี้


พอขึ้นเรือได้ก็แทบหมดแรงค่ะ ขอนั่งแปะให้มันสบายใจซักหน่อยก่อน แบบว่าตูได้ไปแน่แล้วลอนดอน พอเริ่มทำใจได้ ก็เริ่มออกสำรวจค่ะ บนเรือก็ดูหะรูหะรา มีภตาคารทั้งแบบหรู และแบบธรรมดาให้เลือก หรือจะเป็นแบบกินด่วนก็มีไว้บริการค่ะ แน่นอนอย่างเราต้องเอาแบบด่วนค่ะ เพื่อประหยัดเงินใหกระเป๋า กินเสร็จก็หาที่นั่งกันตามใจชอบ เลือกที่มันสงบๆหน่อยจะได้พักสายตาได้ อ้อ บนเรือก็ยังมีโรงหนังให้ดูด้วยนะ แต่เสียเงินอ่ะ เลยไม่ได้ตังเรา หุหุ

หลับมั่ง เดินมั่ง สามชั่วโมงครึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว เประมาณทุ่มครึ่งเราก็มาถึงอังกฤษที่เมือง Harwith ซื้อตั๋วรถไฟแล้วก็กดเงินปอนด์ออกมาไว้ใช้กัน นั่งรถไฟเข้ามาแล้วมาต้อรถไฟใต้ดินอีก จากนั้นกระเหรี่ยงสองคน ก็ลากกระเป๋าดุ่ยๆมองหาโรงแรมที่จองไว้ ในที่สุดเราก็มาถึงลอนดอนจนได้ เข้าที่พักก็สี่ทุ่มครึ่งแล้ว เออ ไม่ใช่สิ ที่อังกฤษเวลาเร็วกว่าหนึ่งชั่วโมง ต้องเป็น ห้าทุ่มครึ่ง เธอยังไม่ยอมนอนทันที ลากเราออกมาเดินข้างนอกอีก เธอบอกว่าหิว อืม ไปก็ไป แต่ห้ามไปไกลนะ เด๋วมีน้ำโห นี่ฉันเหนื่อยแล้วนะ คิดดูเดินทางตั้งแต่หกโมงเช้ายันห้าทุ่มครึ่งเนี่ย ทรหดจริงๆ ยังกับนั่งเครื่องบินกลับเมืองไทยเลยอ่ะ

Day 2 11/12/05

เช้าวันนี้เราตื่นกัน 8 โมงกว่า พอ 9 โมงก็เริ่มออกหากิน เอ๊ยไม่ใช่ เออไม่ใช่ก็ใกล้เคียง ก็ที่นี่ไม่มีอาหารเช้า มีครัวให้ทำกินได้ แต่แค่สองคนเอง ไม่ทำให้เมื่อยหรอก หุหุ เดินออกไปนอกโรงแรม มีร้านให้เลือกเยอะแยะ ก็เลือกได้ร้านนึง น่าจะเป็นของแขกน่ะ อืม พอใช้ได้ สั่งกาแฟน้ำส้มกับครัวซอง เรากินแค่นี้แหละ ราคาก็ประมาณ 5 ปอนด์ได้ กินเสร็จเริ่มออกเดินค่ะ

โรงแรมที่เราอยู่นั้น จะอยู่ไม่ห่างจากสวนสาธารณะ Hyde Park เท่าไหร่ เราก็เลยได้ชมที่นี่ก่อนเป็นที่แรก วันนั้นวันอาทิตย์ก็เลยมีตลาดนัดริมทาง ที่ขายภาพวาดหรือรูปโดยเฉพาะ



แผงขายรูป


สวนสาธารณะ Hyde Park นี้เป็นสวนสาธารณะทีมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในบรรดาสวนในพระราชวัง เดิมที่ดินตรงนี้เป็นของโบสถ์ Westminster Abbey มาในปี ค.ศ.1536 ได้กลายมาเป็นสมบัติของกษัตริย์ Hendrik VIII และใช้เป็นสถานที่สำหรับล่าสัตว์ นอกจากนั้นในสวนแห่งนี้ก็ยังมีมุมที่สร้างขึ้นเพื่อนะลึกถึงเจ้าหญิงไดอานาด้วย

แม้ว่าต้นไม้ต่างๆภายในสวนจะดูโกร๋นๆ แต่ก็ยังมีต้นไม้บางส่วนที่ยังมีใบอยู่แล้วก็เป็นสีส้มสีเหลือง ก็ได้ความสวยงามไปอีกแบบนึง ตามต้นหญ้าก็มีเกล็ดน้ำแข็งเกาะดูขาวโพลน ท้องฟ้าในวันนั้นไม่แจ่มใสเท่าที่ควร จะมีกลุ่มควันลอยละล่องปกคลุมเต็มไปหมด เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุถังน้ำมันระเบิด (ถ้าจำไม่ผิด)ไม่ห่างจากลอนดอนเท่าไหร่ ก็เป็นข่าวใหญ่พอควร เพราะคิดว่าโดนบึ้มอีกแล้วมั้งนี่ แต่ก็ไม่ใช่ล่ะ สรุปว่าเป็นอุบัติเหตุ โล่งใจไปหน่อยตู ไปคราวนี้ก็ยังหวั่นๆอยู่ ว่ามันจะมันจะมีใครมาวางระเบิดอีกป่าววะ เพราะต้องใช้รถไฟใต้ดินค่อนข้างเยอะเหมือนกัน ระหว่างลงบันไดเลื่อนไปสายตาก็สอดส่ายไปเรื่อย ระแวดระวัง ทำยังกะว่าจะรอดงั้นล่ะถ้าเกิดอะไรขึ้นน่ะ พอหลุดขึ้นมาบนดินแต่ละครั้งก็โล่งใจไป เฮ้อไปเที่ยวประเทศเพื่อนพี่เบิ้มนี่ต้องเสี่ยงหน่อย หุหุ เวอร์ไปป่าวเนี่ยตู

มาดูภาพในสวนไฮด์ปาร์คกันเลย













ตรงนี้คือส่วนที่ทำเพื่อระลึกถึงเจ้าหญิงไดอาน่า






ยังพอเห็นสีสันของใบไม้ได้อยู่




เดินมาเรื่อยๆมุ่งหน้าไปยังพระราชวัง Buckingham Palace เดินมาเจอกับประตูข้างล่างนี้ ประวัติความเป็นมาช่างมันเถอะนะ เห็นมันดูสง่าดีเลยถ่ายรูปมาเรื่อยเปื่อยล่ะ อีกอย่างดองไว้นานๆ ความจำชักเสื่อมไปแล้วล่ะ หุหุ



ระหว่างที่เดินใกล้จะถึงนั้น ก็ได้ยินเสียงกลองมาแต่ไกล เอ๊ะ เค้ามีอะไรกันนะ เอ หรือว่าวันนี้จะมีการเปลี่ยนเวรยามของทหารกัน ก้มลงดูนาฬิกามัน 11 โมงแล้ว เออ ใช่แล้ว เค้าจะเปลี่ยนกันในช่วง 11 โมงครึ่ง ดีเหมือนกัน มาแล้วไม่เสียเที่ยวไม่ต้องมารอนานด้วย และเสียงที่เราได้ยินก็เผยโฉมมาแล้ว ข้างล่างนี้แหละ คงเป็นขบวนแบบตรวจตราพื้นที่ก่อนน่ะ





เมื่อเราเดินเข้าไปถึงหน้าพระราชวัง ก็เห็นผู้คนมายืนรอมุงดูกันเต็มไปหมด ความที่ว่าไม่ได้เตรียมตัว ก็เลยงงว่า ไม่รู้จะต้องไปยืนทางไหนดีถึงจะได้เห็นภาพที่ชัดที่สุด ข้างซ้ายข้างขวา เดินวนไปวนมาอยู่นั่นล่ะ หุหุ คนก็เยอะไปหมด จะแทรกตรงไหนดี เอาข้างกำแพงด้านซ้ายแล้วกัน ตัวเล็กๆอย่างเราก็พยายามสอดแทรกเข้าไป เฮ้อแต่ก็ไกลอยู่ดี จะวิ่งไปทางขวาก็ไม่ทันแล้ว ขบวนมาแล้วนี่ เวลาถ่ายรูปก็ซูมสุดๆกันไปเลย มีหลายรูปเหมือนกัน แต่เอามาลงรูปเดียวนี่ล่ะ



ฝูงชนมาออกันอยู่ด้านหน้าเต็มไปหมด


ปกติเวลาเห็นรูปในโปสการ์ด มักจะเห็นทหารใส่ชุดสีแดงใช่ป่าว แต่ช่วงนี้มันหน้าหนาวน่ะ เลยได้ชุดสีเทามาแทน ก็ดีไปอย่าง ภาพไม่ซ้ำใครดี ภาพที่เห็นนี่มันชัดสุดเพราะเค้าเดินวนมาทางด้านซ้ายล่ะ ก็อดทนดูอยู่ได้จนจบล่ะ นานเหมือนกัน แต่ก็คุ้มที่ได้ดู เพราะเค้าไม่ได้เปลี่ยนกันทุกวันน่ะ รู้สึกว่าจะเปลี่ยนวันเว้นวัน เวลา 11 โมงครึ่ง

เดิมพระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นสำหรับเป็นที่อยู่ของท่านเคาต์ John Sheffield และมีชื่อว่า 'Buckingham House' สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1703 ต่อมาในปีค.ศ.1762 กษัตริย์ George III ได้ซื้อต่อมาจากทายาทของตระกูลนี้ ภายหลังได้มีการต่อเติมและสร้างให้ใหญ่โตกว้างขวางยิ่งขึ้น ปตกิแล้วในช่วงหน้าร้อนจะเปิดให้เข้าไปชมภายในพระราชวังได้ แต่เราไปช่วงหน้าหนาว พระราชินีประทับอยู่ เลยอดเข้าไปดูข้างใน


นี้รูปที่ชัดที่สุดแล้วล่ะ



ถ้ามีธงโบกสะบัดอยู่ด้านบน แสดงว่าพระราชินีประทับอยู่






จบการผลัดเปลี่ยนเวรยาม ก็กะว่าต้องไปหาอะไรใส่ท้องก่อนดีกว่า ไม่งั้นไม่มีแรงเดินแน่ เรากะจะไปกินกันที่โซโห ไชน่าทาวน์กัน จากตรงนี้เดินผ่านสวนเซนต์เจมส์กันด้วย แต่ก็ไม่มีเวลาชมสวนแล้ว เพราะใจนึกถึงแต่เรื่องกิน

จากสวนเราก็เดินมาโผล่ที่จตุรัสทราฟัลการ์ Trafalgar Square ตรงนี้จะมีอนุสาวรีย์ของนายพล Horatio Nelson ยืนสูงเด่นอยู่บนเสาสูงถึง 56 เมตร ที่ตรงนี้เป็นสมรภูมิการต่อสู้กับกับทหารของนโปเลียน และท่านนายผลก็ได้เสียชีวิตลงที่สถานที่แห่งนี้ ส่วนร่างของท่านายพลถูกฝังไว้ที่ St.Paul's Cathedral

ใกล้กันนั้นก็จะเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ National Galleryภายในจะมีภาพวาดของศิลปินผู้มีชื่อเสียงในช่วงระหว่างปี
ค.ศ.1250 ถึง 1900 ปกติจะเปิดให้เข้าชมฟรี นอกจากจะมีนิทรรศการจึงจะเก็บค่าเข้าชม อันนี้เราก็ผ่านอีก แม้จะฟรีก็เหอะนะ เป็นคนไม่ค่อยชอบเข้าพิพิธภัณฑ์เท่าไหร่

Trafalgar Square


ท่านนายพลอยู่ข้างบนยอดเสานั่นล่ะ


อาคารที่เห็นคือNational Gallery


Alison Lapper Pregnant by Marc Quinn


Alison Lapper Pregnant เป็นหนึ่งในรูปั้นที่อยู่ซ้ายมือด้านหน้าของ National Gallery เป็นรูปปั้นหินอ่อนขณะที่เธอตั้งครรภ์ได้แปดเดือน เธอพิการมาแต่กำเนิด โดยไม่มีแขนและมีขาสั้นเหนือเข่าทั้งสองข้าง ถ้าใครอยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้ ลองอ่านดูได้ที่เวปนี้แล้วกันนะ คลิ๊กที่นี่

เอาล่ะ ก็มาถึงไชน่าทาวน์ซะที คนเยอะมากๆเลยล่ะ แล้วก็เป็นช่วงอาหารกลางวันด้วยก็เลยยิ่งพลุกพล่านมากเป็นพิเศษ ก็คงจะเหมือนๆกับย่านไชน่าทาวน์ในทุกๆแห่งล่ะนะ ทั้งร้านอาหารให้เลือกมากมาย ร้านขายของสด ของชำ ลานตาไปหมด ยิ่งร้านอาหารแต่ละร้าน น่ากินทั้งนั้น ไมรู้จะเลือกร้านไหนดี ก็เลยสอดส่ายสายตามองหาคนไทยที่เป็นเจ้าถิ่นดูซิ เผื่อจะได้ถามว่ร้านไหนอร่อยมั่ง ก็เจอเข้ากับสองสาวไทย กำลังมาซื้อกับข้าวกัน เราเลยเข้าไปทักทายแล้วถามซะเลย เราก้บอกไปว่าอยากกินพวกติ๋มซำน่ะ เธอเลยบอกร้านนี้ค่ะJade Garden อร่อยมาก แต่อาจต้องเข้าคิวนะถ้าคนแน่น โฮะๆ ไม่มีปัญหาค่ะ ขอให้อร่อยเหอะ รอได้

หลังจากขอบคุณแล้วเราก็ตรงดิ่งไปร้านนี้ทันที มองเข้าไป โห คนแน่นจริงๆ ส่วนใหญ่เป็นคนจีนทั้งนั้นเลย อย่างนี้ได้รสชาติของแท้แน่นอน ไม่ใช่รสที่ทำให้ฝรั่งกิน ตอนจะเข้าประตู เกือบพลาดค่ะ ก็มันมีอยู่ 2 ประตู เราก็นึกว่าร้านเดียวกัน แต่มันคนละร้านค่ะ ถามคนที่ยืนเฝ้าประตู เค้าก็ดันพูดจีนอีก ฟังไม่รู้เรื่องจ้ะ จะรุนหลังให้เราเข้าไปท่าเดียว แต่มองเข้าไปแล้วมันโหวงเหวงง่ะ เลยถอยออกมาทัน เกือบไปแล้วสิ เอาล่ะ ก็เข้ามาแล้ว โชคดีมีโต๊ะว่างพอดี ไม่ต้องรอคิว เมนูจะเป็นแบบให้ติ๊กๆเอาว่าจะเอาอะไรมั่ง มีรูปให้ดูด้วย เราก็สั่งราดหน้ามาจานนึง กินด้วยกันกับบาร์ท แล้วนอกนั้นก็เป็นพวกติ่มซำทั้งหลาย อร่อยจริงๆ กินจนจุกไปเลย จ่ายเงินเสร็จตัวเบาเดินออกมาจากร้าน ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

ก็มันจุกนะ เลยเดินเรื่อยๆย่อยอาหารกันก่อน แล้วค่อยมาดูตอนต่อไปนะ


ไชน่าทาวน์

26 January 2006

อิตาลีตอนจบ

Day15 2/09/05

วันนี้ตื่นเช้ามาอากาศดีจัง แต่เราไม่ไปไหนกันแล้วล่ะ ตั้งใจหยุดพักผ่อน (ทั้งๆที่จริงๆก็อยากไปเหมือนกันอ่ะ )พรุ่งนี้เราต้องเดินทางกลับกันแล้ว เฮ้อ เสียดายจัง บาร์ทต้องขับรถทั้งวัน ก็ต้องให้คนขับรถพักดีกว่า ที่สำคัญผู้โดยสารตัวน้อยจะได้มีเวลาเล่นมั่งนะ วันนี้เลยเป็นวันของ มชล เค้าล่ะ อิอิ พ่อพาเค้าไปเล่นน้ำในสระที่แคมปิ้ง ถึงเวลากลางวันก็กลับมาพัก จากนั้นก็ไปเล่นที่สนามเด็กเล่นอีก อืม เด็กๆวัยนี้ไม่ยอมอยู่นิ่งจริงๆ กลางวันก็ไม่นอน ส่วนเราก็นอนรับลมเย็นๆสบายๆ อิอิ แล้วก็มาซักซ้อมเส้นทางขับรถกันสำหรับพรุ่งนี้ บาร์ทต้องซักซ้อมคร่าวๆก่อนว่าจะใช้เส้นทางไหน ต้องผ่านที่ไหนมั่ง เราจะได้คอยสังเกตด้วย ก็เราอ่านหนังสือบนรถไม่ได้อ่ะ อ่านแล้วจะเวียนหัวเลยล่ะ พรุ่งนี้เราจะไม่กลับเส้นทางเดิม แต่เราจะกลับเข้าไปทางสวิสเซอร์แลนด์ จุดหมายอยู่ที่ซูริค กะจะไปเจอเพื่อนรุ่นน้องที่รู้จักกันทางเนต (จริงๆเคยไปเจอกันครั้งนึงแล้วที่ St Gallen ) ยังไม่ได้นัดกันมั่นเหมาะ ถ้าเจอก็เจอ ถ้าไม่เจอเราก็เที่ยวซูริคกัน คืนนี้เราเลยเข้านอนกันแต่หัวค่ำ เพราะต้องตื่นแต่เช้า

Day16 3/09/05

วันนี้ตื่นกันเจ็ดโมงเช้า จัดการเก็บของขึ้นรถ เก็บกวาดที่พักนิดหน่อย เสร็จแล้วไปกินอาหารเช้ากันที่ร้านในแคมปิ้งกัน สั่งนมให้ มชล ด้วยแต่เธอกินไม่หมด เจ้าของร้านใจดี เอาแก้วกระดาษแบบมีฝาใส่นมมาให้กินกลางทางด้วย ประทับใจป้าเจ้าของร้านสองคนนี้จัง อัธยาศัยดีมากๆเลย เก้าโมงกว่าเราก็เริ่มออกเกินทางกัน มุ่งหน้าไปทางฟลอเรนซ์ ปิซ่า เราใช้ทางด่วนโดยตลอด ระหว่างทางก็เพลิดเพลินกับวิวสองข้างทาง แม้จะเป็นทางด่วน แต่ก็เป็นเส้นทางที่สวยเหมือนกันนะ มีทั้งลาดชัน สูงต่ำสลับกันไป นึกอาลัยอาวรณ์อิตาลี่อยู่ลึกๆ





บ่ายกว่าๆเราก็มาถึงชายแดนสวิสกัน แวะพักที่ร้านใกล้ๆด่านเพื่อนหาอะไรรองท้อง และกดเงินด้วย เพราะที่นี่ใช้เงินฟรังสวิส เราผ่านด่านมาโดยไม่ต้องตรวจอะไร ก็เป็นงี้ทุกครั้งล่ะ เพราะเป็นรถในกลุ่มอียูเหมือนกัน เมื่อเข้าเขตสวิสแล้วก็ต้องตื่นตาตื่นใจกับวิวสองข้างทางอีกแล้ว แต่คราวนี้จะต่างกันตรงที่ ในอิตาลีนั้นจะเป็นต้นไม้ป่าเขา แต่ที่สวิสจะเป็นทะเลสาบสลับกับภูเขาคละเคล้ากันไป มือเราก็กดชัตเตอร์ระวิง กดๆไปเหอะ ชัดไม่ชัดก็ช่างมัน มันต้องมีซักรูปล่ะน่าที่ใช้การได้ หุหุ

ระหว่างนั้นก็จะเห็นเค้าเล่นเครื่องร่อนกันน่ะ เรียกอะไรไม่รู้ไม่แน่ใจ คล้ายๆโดดร่มน่ะ เยอะแยะเลย หลายๆคนก็ร่อนอยู่ข้างบนกลางทะเลสาบกัน แต่มีอยู่คนนึง แกลอยมาหวาดเสียวมาก ลอยเข้ามาในฝั่ง เกือบชนสายไฟใกล้ๆกับรางรถไฟน่ะ แต่ไม่รู้ผลหนอกนะ ว่าตกลงแกจะบังคับมันได้ป่าว เพราะรถเราเลยไปแล้ว ขับมาได้ซักระยะเฉียดๆไปทางลูกาโน โอว เห็นทะเลสาบลูกาโนอยู่แว๊บๆ อยากไปแวะจังเลย สวยมากๆ แต่ต้องตัดใจ เพราะเราไม่มีเวลา ยังเหลือระยะทางอีกยาวไกล โอกาสหน้าแล้วกันนะ ฝากไว้ก่อน


ด่านตรวจสวิส


หลุดเข้ามาได้ไงเนี่ย


เราขับมาเรื่อยๆตามเส้นทาง A2หรือE35 จนกระทั่งใกล้จะเข้าเขตเมือง Airolo รถเริ่มติดอีกแล้ว ติดเป็นทางยาวมากๆด้วย ติดเป็นชั่วโมงเลยอ่ะ ที่มันติดก็เป็นเพราะว่าข้างหน้าจะเป็นอุโมงค์ลอดเขาที่ยาวที่สุดในสวิสถ้าจำไม่ผิดนะ ยาวถึง 17 กิโลเมตร อุโมงค์นี้มีชื่อว่า St Gotthardtunnel อยู่ระหว่างเมือง Göschenen กับเมือง Airolo ตอนนั้นเราก็เริ่มอึดอัดแล้ว เลยถามบาร์ทว่าไม่เข้าอุโมงค์ได้มั๊ย ไปทางอื่นได้ป่าว เค้าบอกว่าได้เหมือนกัน ไปทางเล็กๆขึ้นเขาน่ะ มีแค่ทางนั้นทางเดียว ดูในแผนที่แล้ว โอยไม่ไหวค่ะ มันอ้อมมาก แล้วก็ต้องไต่เขาสูงมากด้วย เผลออาจจะไปถึงช้ากว่ารอเข้าอุโมงค์ซะอีก เออ งั้นไม่เอาดีกว่า ก็อดทนกันไป จนในที่สุดก็ได้เข้าซะที ถึงตอนนั้นเราได้รู้ว่า ที่มันช้า เพราะว่าต้องรอรถอีกฝั่งสวนมา คือผลัดกันน่ะ เพราะช่วงนี้มีการซ่อมแซมอุโมงค์ แล้วจำกัดความเร็วแค่ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มิน่ามันถึงติดนานขนาดนี้




เขาสูงทะมึนอยู่ข้างหน้านั่นล่ะที่เราจะเข้าไป



เกือบแล้วๆๆอดทนหน่อยนะ


หลุดจากอุโมงค์มาได้ค่อยโล่งใจหน่อย ข้างในมันดูอึดอัดนะสิ ออกมาเจอวิวทิวทัศน์งามตา ดวงอาทิตย์เริ่มอ่อนแสงแล้ว รถไม่ติดแล้ว วิวสองข้างทางสวยมากๆ เจอทะเลสาบเป็นระยะๆ มองเห็นโบถส์และหมู่บ้านริมทะเลสาปน่ารักมากๆ จนกระทั่งเราก็มาถึงซูริค
เกือบๆสองทุ่ม วนหาโรงแรมที่เราจองไว้จนเจอ เราจองไว้สองคืนด้วยกัน เอาของเก็บเรียบร้อยก็ได้เวลาไปหาข้าวกินกัน







เดินสำรวจไปทั่ว ไปเจอร้านอาหารเขมรชื่อ อังกอร์ โอว มันหรูเหลือเกิน มองเข้าไปมีแต่คนแต่ตัวดีๆทั้งนั้นเลย ไม่เอาดีกว่ากลัวล้มละลาย เดินไปไม่ไกล เจอร้านชื่อ นู๊ดเดิ้ล ดูหน้าตาร้านจะออกไปทางญี่ปุ่น เป็นร้านดูง่ายๆ เป็นกันเองดี ที่นั่งเป็นม้ายาวด้านนอก อืม เอาร้านนี้แหละ มันเป็นร้านก๋วยเตี๋ยว ยังไงซะเราต้องกินได้ เปิดเมนูดู อืม มีก๋วยเตี๋ยวญี่ปุ่น เวียดนาม เกาหลี มีของไทยด้วย อาหารไทยก็มี แต่เรากล้าๆกลัวๆที่จะสั่งอาหารไทย กลัวไม่ได้เรื่อง แต่จะเอาอย่างอื่นกลัวกินไม่ได้อีก เห็นในเมนูมีผัดไทยเส้นอุดรแบนๆด้วย (เค้าบรรยายงี้อ่ะ) เราก็นึกไปถึงเส้นจันท์โน่น เออ น่าจะพอได้ว่ะ เอานี้แล้วกัน จากนั้นก็สั่ง ชุดของกินเล่นแบบรวมให้ มชล ดีกว่า เพราะเค้าคงกินจานใหญ่อย่างเราไม่หมดหรอก ในนั้นก็มี ไก่สะเต๊ะ เกี๊ยวทอด ปอเปี๊ยะทอด แล้วก็ยำวุ้นเส้น คือกะว่าให้เค้ากินไก่สะเต๊ะหรือปอเปี๊ยะทอด ที่เหลือเราจะกินเอง 555555555 ของบาร์ทสั่งก๋วยเตี๋ยวอุดรผัด

ได้เวลาอาหารมาถึง อืม ก็อึ้งๆค่ะ ทั้งๆที่ก็แอบนึกไว้แล้วล่ะว่ามันคงไม่ใช่อย่างที่เราคิดน่ะ ของบาร์ทหน้าตาเป็นก๋วยเตี๋ยวญี่ปุ่น มันเป็นเส้นเหลืองๆกลมๆใหญ่น่ะ รสชาติพอกินได้ มาถึงของเรามั่ง ผัดไทย เฮ้อ หน้าตาคล้ายของบาร์ทแต่มันเป็นเส้นเหลืองแบนๆ ที่สำคัญ กระเดือกไม่ลงเลย แถมเราดันใส่เกลือป่นลงไปอีกเพราะนึกว่ามันเป็นน้ำตาลทรายอ่ะ ก็มันละเอียดมากๆๆเลย ด้วยความเคยชินน่ะ ว่าเครื่องปรุงบนโต๊ะของก๋วยเตี๋ยวน่ะ ก็ต้องเป็นน้ำตาลสิ ยิ่งอยากจะอ๊วกเลย กินไม่ได้แล้ว เหลือเต็มๆจานนั่นล่ะ หันมาทางของ มชล ดีกว่า หน้าตาใช้ได้ แต่ๆๆ ไม่ได้เรื่องเลย สะเต๊ะไก่รสชาติแปลกๆ มชล ไม่กิน เธอบอกไม่อร่อย แถมพูดเสียงดังด้วย ไอ้เราต้องบอก เบาๆลูก กลัวคนเสริฟจะค้อนเอา อิอิ อ้อ อธิบายนิด คำว่าอร่อยในภาษาดัชต์กับเยอรมันใช้คำเดียวกัน (ที่ซูริคเค้าพูดเยอรมัน)แล้วเธอก็พูดไม่อร่อยเป็นภาษาดัชต์ซะเสียงดังเลย

หันมาทางเกี๊ยวทอดมั่ง เออ สุนัขไม่รับปทานเหมือนกัน น้ำจิ้มก็คล้ายๆซีอิ๋ว ไม่รู้ชาติไหนญี่ปุ่นหรือเกาหลี เหม็นๆจะอ้วก ไม่รู้กินกันได้ไงเนี่ย อ้ะ ยังมีปอเปี๊ยะอยู่ แหวะ อมน้ำมัน แถมไม่กรอบอีก บาร์ทยังไม่กินเลย ทั้งๆที่เธอกินง่ายมากอยู่แล้ว สุดท้ายหันมาความหวังสุดท้ายที่ ยำวุ้นเส้น ก็ต้องผิดหวังตามเคย รสชาติมันหวานแหลม เขื่อนๆเฝื่อนๆบอกไม่ถูก สรุป จ่ายไป 84 ฟรัง แต่แหลกไม่ล่าย สบายใจไป ต้องเรียกเค้ามาเก็บไป เพราะนานแล้วมันยังเต็มจานอยู่เลย อิอิ แต่เค้าก็ไม่ถามนะ ว่าทำไมเธอไม่กินกันเลยเนี่ย ดีเหมือนกัน เราก็ไม่อยากจะต่อว่าหรอกว่าพวกเธอทำอาหารไทยชั้นเสียหายหมดเลย จากนั้นก็กลับมากินขนมต่อที่ห้องดีกว่า โทรหาเกตุ ถ้าว่างจะได้นัดเจอกัน ส่วนเพื่อนอีกคนไม่ได้โทรหา กลัวเค้าไม่สะดวก เจอเกตุ เลยนัดกันตอนบ่าย ช่วงเช้าเกตุต้องไปโบถส์ ดีเหมือนกัน ช่วงเช้าเราจะได้มีเวลาชมเมืองกันก่อนที่จะเมาท์กระจาย จากนั้นก็มาดูว่าพรุ่งนี้เราจะทำไงดี จะเดินเที่ยวเหมือนเดิมหรือว่าจะซื้อซื้อทัวร์นั่งรถและลงเรือชมเมืองกันดี เห็นแก่ลูกเขาเหนื่อยมาหลายวันแล้ว เลยตกลงซื้อทัวร์แล้วกัน คราวหน้าถ้ามีโอกาสค่อยมาใหม่ก็ได้

Day17 4/09/05

วันนี้เราตื่นเจ็ดโมงเช้า เพราะทัวร์เที่ยวแรกเริ่ม 9.45 น. ลงมาจัดการอาหารเช้ากันก่อน เรียบร้อยก็ออกเทินทางกัน เราทิ้งรถไว้ที่โรงแรม แล้วนั่งรถแทรมไป จะไปซื้อตั๋วที่ป้ายรถก็อไม่ได้ เพราะไม่มีเหรียญอ่ะ ร้านค้าแถวนั้นก็ยังไม่เปิด ทำไงดี หวังว่าอาจจะซื้อตั๋วบนรถได้ พอรถแทรมมาเราก้ขึ้นไป คนขับเป็นผู้หญิง ก็ถามเค้าว่าจะซื้อตั๋วบนรถได้มั๊ย ซื้อไมได้ค่ะ อืม...ก็บอกเค้าว่า เราไม่มีเหรียญเลยอ่ะ เธอบอก ขึ้นมาก่อนก็ได้ เดี๋ยวป้ายหน้าจะมีร้านขายของเล็กๆ เธอค่อยซื้อที่นั่นก็ได้ แต่ถ้ายังไม่เปิด ก็ไม่ต้องซื้อ ไม่เป็นไร พอถึงป้ายนั้นร้านยังไม่เปิด เธอบอกโอเค นั่งไปโลด พอถึงป้ายที่เราจะลง คนขับก็บอกว่าถึงแล้ว ลงไปเราก็เก้ๆกังๆกั มองหาที่ที่จะซื้อทัวร์ คนขับยังมีน้ำใจชี้ไม้ชี้มือให้อีก ว่าอยู่ตรงไหน มีน้ำใจจริงๆ

ทัวร์ที่เราจะไปกันวันนี้ราคาคนละ 37 ฟรังซ์ ช่วงแรกนั่งรถชมเมือง และอาจได้แวะลงไปบ้างนิดหน่อย 10-15 นาที หลังจากนั้นก็จะเป็นนั่งเรือชมทะเลสาบซูริค วันนี้พยากรณ์อากาศว่าจะมีแดดดี แต่ช่วงเช้าแดดยังไม่มา มีแต่หมอก กว่าแดดจะมาก็โน่นบ่ายสองบ่ายสามแล้ว ทัวร์เสร็จแล้วแดดถึงจะยอมเผยโฉม ก็มาดูภาพกันเลยแล้วกัน ก็ไม่สวยหรอกเพราะว่าแดดไม่มี แถมถ่ายจากในรถด้วย โทษไปนั่น ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


คันนี้ล่ะรถนำเที่ยว



มชลฟังบรรยายกะเค้าด้วย รู้เรื่องป่าวน่ะ




ชมเมืองไปได้ซักพัก ก็ได้แวะลงดูสถานที่ที่ Winston S. Churchil นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้กล่าวสุนทรพจน์หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ใจความคร่าวๆเกี่ยวกับการฟื้นฟูของประเทศในยุโรป คร่าวๆแค่นี้แหละ เนี่ยถามบาร์ทอ่ะ ไม่ได้ค้นเองหรอก ฮ่าๆๆๆๆๆๆ จริงๆตอนนั้นก็ฟังๆไปงั้นไม่ได้สนใจไม่ได้จดจำ เพราะตั้งใจมาดูอย่างเดียว เรื่อยเปื่อย ไม่จริงจัง กะไว้ว่าถ้าคราวหน้าได้มาอีกค่อยดูใหม่


ตัวอาคารด้านหลัง



จากรึกไว้ที่พื้นหน้าประตูอาคาร



ตัวอาคารด้านหน้า


จากนี้ก็จะเป็นภาพบริเวณใกล้เคียง ใกล้กันนั้นมีโบถส์ด้วย แต่ไม่ได้เข้า มีพิธีการอยู่ เข้าได้ช่วงบ่าย ก็เลยไม่ได้กลับมาดูอีก

















จากนี้ไปก็จะเป็นภาพจากในรถซะส่วนใหญ่ ไม่บรรยาย เพราะลืมหมดแล้ว





จากนี้ไปจะเป็นภาพจากการล่องเรือชมทะเลสาบ หนาวเหมือนกันเพราะลมแรงแล้วก็ไม่มีแดดด้วย










ลงจากเรือก็มาถ่ายรูปกับรูปปั้นหมี ซึ่งจะมีให้เห็นเป็นระยะๆทั่วเมือง มันเป็นเทศกาลอะไรก็ไม่รู้เลยมีหมีอยู่ทั่วเมืองน่ะ ลงจากเรือก็เจอเพื่อนมารออยู่แล้ว เกตุกับลูกสาวชื่อคารีน่าแต่เรียกกันว่าแก้มใส เจอกันก็ไม่ต้องพูดมาก ฮ่ๆๆๆๆๆๆ ไปกินก๋วยเตี๋ยวเป็ดเจ้าอร่อยกันเหอะ ตอนนั้นบ่ายโมงกว่าแล้วด้วย หิวๆๆๆๆ ไปถึงก็สั่งมาคนละชาม เราสั่งสองชามให้ลูกด้วย ด้วยความหิวแล้วก็ไม่ได้ถามก่อนว่าชามมันใหญ่แค่ไหน จ๊ากกกกกก ชามเท่ากะละมัง แต่อร่อยมากๆเลย แต่ก็กินเกือบจะไม่หมดน่ะ ส่วนของ มชล น่ะไม่หมดอยู่แล้ว ก็เลยช่วยกันระหว่างเรากับเกตุ อิอิ ของบาร์ทสั่งข้าวผัดกุ้งกับ กระดูกหมูทอดกระเทียมพริกไทย กินเสร็จจ่ายไปเกือบร้อยฟรังซ์ แพงเหมือนกัน กั่กๆๆ แต่ช่างเหอะ อร่อยเป็นใช้ได้ ไม่ได้กินทุกวันนี่หว่า

กินเสร็จก็หาที่นั่งเล่นกัน ดุในแผนที่มีสวนสาธารณะใกล้ๆ มีสนามเด็กเล่นด้วย เลยเดินมานั่งคุยกันในนี้ เด็กๆจะได้เล่นกันไป แล้วก็ กลัวบาร์ทจะเฉาซะก่อนเลยบอกเค้าว่า ถ้าอยากไปเดินดูอะไรคนเดียวก็ได้นะ ส่วนเราจะนั่งเมาท์กันอยู่นี่แหละ แล้วเด๋วค่อยนัดเจอกันที่ท่าเรือในเมือง ก้คุยกันสัพเพเหระเรื่อยเปื่อย สลับกับเล่นกับเด็กสองคนไปด้วย


สองสาวเดินคุยกันหนุงหนิง



อ้าวแก้มใสจะไปไหนอ่ะ มานี่จิ อย่างอนน่า



ไปเล่นกันนะนะ เค้ามาง้อแล้วนะ


ก็คุยกันจนคอแห้ง ได้เวลาก็ขึ้นรถเมลล์ไปเจอบาร์ทที่ท่าเรื่อ บาร์ยังไม่มา เลยไปแวะซื้อขนมปังมาให้เป็ดให้หงส์กิน จริงๆเอาให้เด็กน้อยสองคนโยนให้เป็ด แบบว่าเธอจะได้อยู่กับที่ได้มั่ง ไม่งั้นต้องคอยจับปูใส่กระด้งกัน ขนมปังน่ะซื้อมาก้อนใหญ่ เด็กๆก็บิไปทีละนิดละหน่อย พอบาร์ทมาถึงก็เลยไปช่วยเด็กน้อยเอาขนมปังให้เป็ด เราสองคนมั่วแต่คุย เผลอแป๊บเดียว หันไปดูอีกที บาร์ทโยนก้อนเบ้อเริ่มเลยอ่ะ
"เฮ๊ย ทำไมโยนก้อนใหญ่นักเล่า เด๋วก็หมดหรอก" เราร้องเสียงหลง แต่ไม่ทันการซะแล้ว หมดพอดี
"อ้าว ก็เอามาให้เป็ดไม่ใช่เหรอ" แน่ะยังจะมาถามอีก
"ก็ใช่ แต่ให้เด็กเค้าเล่นกัน ไม่ใช่เธอนี่ หมดแล้วเด๋วก็ร้องกันอีกล่ะ"
"ใครจะรู้ล่ะ ไปซื้อเอาใหม่ดิ"
"เธอไปซื้อดิ อยู่ตั้งไกล"
ตกลงก็ไม่ได้ซื้อใหม่ ทีนี้ก็อยู่ไม่สุขกันล่ะ ต้องคอยจับปูใส่กระดงกัน เราก็นั่งเล่นกันไปเรื่อยๆ มันยังเป็นช่วงปลายหน้าร้อน เลยมืดช้าหน่อย เราไม่ได้ไปกินอะไรอีก เพราะยังจุกกับก๋วยเตี๋ยวไม่หายเลย จนเกือบสองทุ่มถึงได้ร่ำลากัน เสียดายที่มีเวลาน้อยไปหน่อย แต่ก็ยังดีที่ได้เจอกันเนอะ










แก้มใส(คารีน่า)



แยกย้ายกันไปเมื่อดวงอาทิตย์ลับฟ้า


Day18 5/09/05

เช้าวันนี้เราต้องเดินทางกลับฮอลแลนด์กันแล้ว จากสวิสเซอร์แลนด์มุ่งหน้าเข้าเยอรมัน หยุดพักเป็นระยะๆ จนเข้าเขต Moezel เป็นพื้นที่ที่ปลูกไวน์ที่มีชื่อเสียงของเยอรมัน ตรงนี้มีสะพานซึ่งสูงมากๆๆ มีจุดให้แวะชมวิว เราเลยแวะกันนิดนึงเพื่อเก็บภาพสุดท้ายของทรปนี้


ตัวสะพาน มองแบบนี้ไม่ค่อยรู้สึกว่าสูงเท่าไหร่



ที่เห็นนั่นเป็นไร่ไวน์


จากนั้น ก็ขับรถรวดเดียวถึงบ้านเลย กลับถึงบ้านประมาณหกโมงเย็นได้ แวะเอาของเก็บแล้วก็ออกไปซุปเปอร์กันต่ออีก ซื้อของซื้อกับข้าวเอามาทำกินกัน

แล้วการเดินทางครั้งนี้ของเราก็จบลง เหนื่อยเหมือนกันแต่ก็สนุกนะ ได้พบเห็นสิ่งต่างๆมากมาย เป็นกำไรของชีวิตจริงๆ


แล้วพบกันทริปหน้านะคะ