ลอนดอน เป็นอีกเมืองหนึ่งที่เราก็อยากไปนานแล้ว กะว่าได้พาสปอร์ตดัชท์เมื่อไหร่ค่อยไป แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ไปซะที จนมาปลายปีที่แล้วนี้แหละ แต่ก็เป็นทริปที่ไม่ได้ตั้งใจมาก่อน มันก็ปุ๊บปั๊บก็ไปกันเลย เอาลูกไปไว้กับย่า เพราะถ้าเอาไปด้วย ก็คงแค่ได้ชม แต่ไม่ได้ดูแบบละเอียด อีกอย่างก็ไปแค่ 4 วันเอง แล้วก็พักโรงแรมแบบ Hostel คล้ายๆกับ Youth hotel ก็แค่มีที่นอนเท่านั้นเอง เราจองตั๋วสายการบินโลว์คอสเจ้าเก่าของเรา Ryanair
เช้าวันเสาร์ที่ 10 ธค. เราตื่นกันหกโมงเช้า ออกจากบ้านเจ็ดโมง เช้านั้นหมอกลงจัดมาก ยังมืดตึ๊ดตื๋ออยู่เลย สองคนเดินท่อมๆลากกระเป๋าไปขึ้นรถเมล์ จากบ้านไปสนามบิน Eindhoven ก็ห้านาทีเอง ไปถึงเช็คอินเสร็จก็ลากกระเป๋าผ่านช่องตรวจ ของเราก็ผ่านสบาย มีของบาร์ทดันถูกกัก เจ้าหน้าที่เปิดกระเป๋าค้นดู เธอดันมีมีดพกติดอยู่ในกระเป๋าเป้ แหมมันหน้าตื้บมั๊ยล่ะ ก็บอกแล้วให้ตรวจให้ดีก่อน ถามเธอแล้วนะว่าเอาของพวกนี้ออกหมดหรือยัง เธอบอก หมดแล้ว ต้องเสียเวลาเอาของไปฝากไว้ที่เคาน์เตอร์ ให้เค้าส่งไปรษณีย์ เสียค่าส่งไป 5 ยูโร สบายไป แต่ถ้าจะฝากไว้ที่นี่แบบขากลับมาเอา นั่นโหดยิ่งกว่าค่ะ 60 ยูโรค่ะ
จากนั้นเราก็เข้าไปนั่งรอข้างใน แต่มองออกไปหมอกลงจัดมาก มองอะไรไม่เห็นเลย แล้วเธอก็พุดเล่นๆว่า ฉันว่าคงไมได้ไปแล้วล่ะ หมอกลงจัดแบบนี้ เครื่องคงขึ้นไม่ได้ แล้วมันก็เป็นจริงค่ะ เพราะว่าเครื่องออกเก้าโมง ผู้โดยสารก็ไปยืนต่อแถวเพื่อเช็คพาสปอร์ตกันแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ยื่นที่ช่องเตรียมพร้อม แต่ก็ไม่มีใครได้เล็ดลอดออกไปซักคน สุดท้ายก็ประกาศว่า เที่ยวบินนี้ยกเลิกค่ะ เนื่องจากหมอกลงหนามากค่ะ ให้ผู้โดยสารติดต่อที่เค้าเตอร์ของสายการบินเพื่อเปลี่ยนแปลงเที่ยวบิน แป่ว สุดแสนเซ็งค่ะ
เดินออกมาเพื่อจะไปติดต่อว่าเราจะทำไงดี โห แถวยาวโคดๆ สำหรับบาร์ทเป็นอะไรที่เธอรับไม่ได้ค่ะ คนเยอะแบบนี้เธอไม่ชอบอดทนรอ เลยไปถามเจ้าหน้าที่ของสายการบินที่มีอยู่น้อยนิดตรงนั้นว่า ถ้าเราจะไม่เปลี่ยนไฟลต์แต่จะยกเลิกเลยเนี่ย ต้องไปยื่นต่อแถวด้วยมั๊ยเนี่ย เจ้าหน้าที่บอกว่า ถ้างั้นไม่ต้องค่ะ กรอกแบบฟอร์มนี้แล้วแฟ๊กซ์ไปได้เลย เราจะคืนเงินให้ เธอก็เลยเลือกวิธีนี้
ระหว่างนั้น เราก็ลากกระเป๋า(ดีที่ใบเล็กนะ)มารอรถเมล์ เพื่อกลับบ้าน แล้วก็คิดด้วยว่าจะทำไงดี โรงแรมก็จองไว้แล้ว ถ้าไม่ไปยังไงก็ต้องจ่ายเค้าหนึ่งอ่ะ เสียดายสิ แม้จะแค่โรงแรมเล็กๆแต่ก็แพงอยู่ดี ทำไงดีล่ะ หรือจะเข้าไปต่อแถวใหม่แล้วดูว่ามีเมืองไหนใกล้ๆที่เราจะไปขึ้นเครื่องได้มั๊ย แต่เออ ไม่เอาดีกว่า เสียเวลาเดินทางไปอีก งั้นก็มีอีกทาง คือไปทางเรือ แต่ต้องไปขึ้นที่ Hoek van Holland มันจะมีเรือข้ามฟากไปอังกฤษ แต่ปัญหาคือเราไม่ได้จองล่วงหน้า มันจะมีที่เหลือให้เรามั๊ย ยังไงก็ต้องลองดู
กลับไปถึงบ้าน 10 โมง (โชคดีที่บ้านอยู่ใกล้สนามบิน)เปิดอินเตอร์เนตเช็คตารางเดินเรือ โอว มีเรือเร็วของ Stena lines เรือจะออกเวลาบ่ายสี่โมงเย็น จะไปขึ้นที่เมือง Harwith จากนั้นต้องต่อรถไฟเข้าลอนดอน ระยะเวลาเดินเรือสามชั่วโมงครึ่ง ค่าตั๋วสองคนขาเดียวก็100 กว่ายูโร เออ เอานั้นนี้ก็ได้วะ ยังมีเวลาเดินทางไปท่าเรือ จัดการจองตั๋วทางอินเตอร์เนต ( มีอินเตอร์เนตมันก็สะดวกแบบนี้เอง ) จากนั้นก็มาดูเวลารถไฟจาก Eindhoven ไป Hoek van Holland จะใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงได้ เราเลยเลือกที่จะไปตอนนี้เลย ยังไงไปถึงก่อนก็ไม่เป็นไร
ก็จับรถเมล์ไปขึ้นรถไฟค่ะ 10 นาทีเราก็ถึงสถานี ได้ขึ้นรถไฟเที่ยว 11.30 น. ก็คิดว่าไปกันแบบเรื่อยๆสบายๆแล้ว ที่ไหนได้ ยังมีอุปสรรคอีกค่ะ เมื่อวานมีอุบัติเหตุทางรถไฟช่วงที่เราต้องผ่านเนี่ยกำลังซ่อมค่ะ เพราะฉะนั้นมันเหลือแค่เลนส์เดียว ต้องรอค่ะ ต้องรอรถไฟสับราง เป็นไงค่ะ ตอนนี้เริ่มหัวหมุนติ้วแล้วค่ะ ตูจะได้ไปลอนดอนมั๊ยเนี่ย อีกใจนึงก็ใจไม่ดีแล้ว ไม่อยากไป เหมือนกับว่าลางไม่ดีอะไรแบบนั้น แต่ก็ไม่รู้จะทำไงอ่ะ ก็มันติดแหง๊กอยู่บนรถไฟแล้วนี่ ก็ได้แต่ลุ้นอย่างเดียว ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ทำไงดีวะตู แต่ก็ยังนั่งต่ออีก จนกระทั่งรถไฟมันเริ่มวิ่งได้ ก็ลุ้นค่ะว่าจะมีแบบนี้อีกมั๊ยเนี่ย เสียเวลารอไป 45 นาที แล้วในที่สุดเราก็ไปถึงท่าเรือในเวลาบ่ายสามค่ะ ทันเวลา นี่ถ้าเราเลือกรถเที่ยวหลังจากนี้ เราคงไม่ได้ไปแน่ๆเลย
พอขึ้นเรือได้ก็แทบหมดแรงค่ะ ขอนั่งแปะให้มันสบายใจซักหน่อยก่อน แบบว่าตูได้ไปแน่แล้วลอนดอน พอเริ่มทำใจได้ ก็เริ่มออกสำรวจค่ะ บนเรือก็ดูหะรูหะรา มีภตาคารทั้งแบบหรู และแบบธรรมดาให้เลือก หรือจะเป็นแบบกินด่วนก็มีไว้บริการค่ะ แน่นอนอย่างเราต้องเอาแบบด่วนค่ะ เพื่อประหยัดเงินใหกระเป๋า กินเสร็จก็หาที่นั่งกันตามใจชอบ เลือกที่มันสงบๆหน่อยจะได้พักสายตาได้ อ้อ บนเรือก็ยังมีโรงหนังให้ดูด้วยนะ แต่เสียเงินอ่ะ เลยไม่ได้ตังเรา หุหุ
หลับมั่ง เดินมั่ง สามชั่วโมงครึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว เประมาณทุ่มครึ่งเราก็มาถึงอังกฤษที่เมือง Harwith ซื้อตั๋วรถไฟแล้วก็กดเงินปอนด์ออกมาไว้ใช้กัน นั่งรถไฟเข้ามาแล้วมาต้อรถไฟใต้ดินอีก จากนั้นกระเหรี่ยงสองคน ก็ลากกระเป๋าดุ่ยๆมองหาโรงแรมที่จองไว้ ในที่สุดเราก็มาถึงลอนดอนจนได้ เข้าที่พักก็สี่ทุ่มครึ่งแล้ว เออ ไม่ใช่สิ ที่อังกฤษเวลาเร็วกว่าหนึ่งชั่วโมง ต้องเป็น ห้าทุ่มครึ่ง เธอยังไม่ยอมนอนทันที ลากเราออกมาเดินข้างนอกอีก เธอบอกว่าหิว อืม ไปก็ไป แต่ห้ามไปไกลนะ เด๋วมีน้ำโห นี่ฉันเหนื่อยแล้วนะ คิดดูเดินทางตั้งแต่หกโมงเช้ายันห้าทุ่มครึ่งเนี่ย ทรหดจริงๆ ยังกับนั่งเครื่องบินกลับเมืองไทยเลยอ่ะ
Day 2 11/12/05
เช้าวันนี้เราตื่นกัน 8 โมงกว่า พอ 9 โมงก็เริ่มออกหากิน เอ๊ยไม่ใช่ เออไม่ใช่ก็ใกล้เคียง ก็ที่นี่ไม่มีอาหารเช้า มีครัวให้ทำกินได้ แต่แค่สองคนเอง ไม่ทำให้เมื่อยหรอก หุหุ เดินออกไปนอกโรงแรม มีร้านให้เลือกเยอะแยะ ก็เลือกได้ร้านนึง น่าจะเป็นของแขกน่ะ อืม พอใช้ได้ สั่งกาแฟน้ำส้มกับครัวซอง เรากินแค่นี้แหละ ราคาก็ประมาณ 5 ปอนด์ได้ กินเสร็จเริ่มออกเดินค่ะ
โรงแรมที่เราอยู่นั้น จะอยู่ไม่ห่างจากสวนสาธารณะ Hyde Park เท่าไหร่ เราก็เลยได้ชมที่นี่ก่อนเป็นที่แรก วันนั้นวันอาทิตย์ก็เลยมีตลาดนัดริมทาง ที่ขายภาพวาดหรือรูปโดยเฉพาะ
สวนสาธารณะ Hyde Park นี้เป็นสวนสาธารณะทีมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในบรรดาสวนในพระราชวัง เดิมที่ดินตรงนี้เป็นของโบสถ์ Westminster Abbey มาในปี ค.ศ.1536 ได้กลายมาเป็นสมบัติของกษัตริย์ Hendrik VIII และใช้เป็นสถานที่สำหรับล่าสัตว์ นอกจากนั้นในสวนแห่งนี้ก็ยังมีมุมที่สร้างขึ้นเพื่อนะลึกถึงเจ้าหญิงไดอานาด้วย
แม้ว่าต้นไม้ต่างๆภายในสวนจะดูโกร๋นๆ แต่ก็ยังมีต้นไม้บางส่วนที่ยังมีใบอยู่แล้วก็เป็นสีส้มสีเหลือง ก็ได้ความสวยงามไปอีกแบบนึง ตามต้นหญ้าก็มีเกล็ดน้ำแข็งเกาะดูขาวโพลน ท้องฟ้าในวันนั้นไม่แจ่มใสเท่าที่ควร จะมีกลุ่มควันลอยละล่องปกคลุมเต็มไปหมด เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุถังน้ำมันระเบิด (ถ้าจำไม่ผิด)ไม่ห่างจากลอนดอนเท่าไหร่ ก็เป็นข่าวใหญ่พอควร เพราะคิดว่าโดนบึ้มอีกแล้วมั้งนี่ แต่ก็ไม่ใช่ล่ะ สรุปว่าเป็นอุบัติเหตุ โล่งใจไปหน่อยตู ไปคราวนี้ก็ยังหวั่นๆอยู่ ว่ามันจะมันจะมีใครมาวางระเบิดอีกป่าววะ เพราะต้องใช้รถไฟใต้ดินค่อนข้างเยอะเหมือนกัน ระหว่างลงบันไดเลื่อนไปสายตาก็สอดส่ายไปเรื่อย ระแวดระวัง ทำยังกะว่าจะรอดงั้นล่ะถ้าเกิดอะไรขึ้นน่ะ พอหลุดขึ้นมาบนดินแต่ละครั้งก็โล่งใจไป เฮ้อไปเที่ยวประเทศเพื่อนพี่เบิ้มนี่ต้องเสี่ยงหน่อย หุหุ เวอร์ไปป่าวเนี่ยตู
มาดูภาพในสวนไฮด์ปาร์คกันเลย
เดินมาเรื่อยๆมุ่งหน้าไปยังพระราชวัง Buckingham Palace เดินมาเจอกับประตูข้างล่างนี้ ประวัติความเป็นมาช่างมันเถอะนะ เห็นมันดูสง่าดีเลยถ่ายรูปมาเรื่อยเปื่อยล่ะ อีกอย่างดองไว้นานๆ ความจำชักเสื่อมไปแล้วล่ะ หุหุ
ระหว่างที่เดินใกล้จะถึงนั้น ก็ได้ยินเสียงกลองมาแต่ไกล เอ๊ะ เค้ามีอะไรกันนะ เอ หรือว่าวันนี้จะมีการเปลี่ยนเวรยามของทหารกัน ก้มลงดูนาฬิกามัน 11 โมงแล้ว เออ ใช่แล้ว เค้าจะเปลี่ยนกันในช่วง 11 โมงครึ่ง ดีเหมือนกัน มาแล้วไม่เสียเที่ยวไม่ต้องมารอนานด้วย และเสียงที่เราได้ยินก็เผยโฉมมาแล้ว ข้างล่างนี้แหละ คงเป็นขบวนแบบตรวจตราพื้นที่ก่อนน่ะ
เมื่อเราเดินเข้าไปถึงหน้าพระราชวัง ก็เห็นผู้คนมายืนรอมุงดูกันเต็มไปหมด ความที่ว่าไม่ได้เตรียมตัว ก็เลยงงว่า ไม่รู้จะต้องไปยืนทางไหนดีถึงจะได้เห็นภาพที่ชัดที่สุด ข้างซ้ายข้างขวา เดินวนไปวนมาอยู่นั่นล่ะ หุหุ คนก็เยอะไปหมด จะแทรกตรงไหนดี เอาข้างกำแพงด้านซ้ายแล้วกัน ตัวเล็กๆอย่างเราก็พยายามสอดแทรกเข้าไป เฮ้อแต่ก็ไกลอยู่ดี จะวิ่งไปทางขวาก็ไม่ทันแล้ว ขบวนมาแล้วนี่ เวลาถ่ายรูปก็ซูมสุดๆกันไปเลย มีหลายรูปเหมือนกัน แต่เอามาลงรูปเดียวนี่ล่ะ
ปกติเวลาเห็นรูปในโปสการ์ด มักจะเห็นทหารใส่ชุดสีแดงใช่ป่าว แต่ช่วงนี้มันหน้าหนาวน่ะ เลยได้ชุดสีเทามาแทน ก็ดีไปอย่าง ภาพไม่ซ้ำใครดี ภาพที่เห็นนี่มันชัดสุดเพราะเค้าเดินวนมาทางด้านซ้ายล่ะ ก็อดทนดูอยู่ได้จนจบล่ะ นานเหมือนกัน แต่ก็คุ้มที่ได้ดู เพราะเค้าไม่ได้เปลี่ยนกันทุกวันน่ะ รู้สึกว่าจะเปลี่ยนวันเว้นวัน เวลา 11 โมงครึ่ง
เดิมพระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นสำหรับเป็นที่อยู่ของท่านเคาต์ John Sheffield และมีชื่อว่า 'Buckingham House' สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1703 ต่อมาในปีค.ศ.1762 กษัตริย์ George III ได้ซื้อต่อมาจากทายาทของตระกูลนี้ ภายหลังได้มีการต่อเติมและสร้างให้ใหญ่โตกว้างขวางยิ่งขึ้น ปตกิแล้วในช่วงหน้าร้อนจะเปิดให้เข้าไปชมภายในพระราชวังได้ แต่เราไปช่วงหน้าหนาว พระราชินีประทับอยู่ เลยอดเข้าไปดูข้างใน
จบการผลัดเปลี่ยนเวรยาม ก็กะว่าต้องไปหาอะไรใส่ท้องก่อนดีกว่า ไม่งั้นไม่มีแรงเดินแน่ เรากะจะไปกินกันที่โซโห ไชน่าทาวน์กัน จากตรงนี้เดินผ่านสวนเซนต์เจมส์กันด้วย แต่ก็ไม่มีเวลาชมสวนแล้ว เพราะใจนึกถึงแต่เรื่องกิน
จากสวนเราก็เดินมาโผล่ที่จตุรัสทราฟัลการ์ Trafalgar Square ตรงนี้จะมีอนุสาวรีย์ของนายพล Horatio Nelson ยืนสูงเด่นอยู่บนเสาสูงถึง 56 เมตร ที่ตรงนี้เป็นสมรภูมิการต่อสู้กับกับทหารของนโปเลียน และท่านนายผลก็ได้เสียชีวิตลงที่สถานที่แห่งนี้ ส่วนร่างของท่านายพลถูกฝังไว้ที่ St.Paul's Cathedral
ใกล้กันนั้นก็จะเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ National Galleryภายในจะมีภาพวาดของศิลปินผู้มีชื่อเสียงในช่วงระหว่างปี
ค.ศ.1250 ถึง 1900 ปกติจะเปิดให้เข้าชมฟรี นอกจากจะมีนิทรรศการจึงจะเก็บค่าเข้าชม อันนี้เราก็ผ่านอีก แม้จะฟรีก็เหอะนะ เป็นคนไม่ค่อยชอบเข้าพิพิธภัณฑ์เท่าไหร่
Alison Lapper Pregnant เป็นหนึ่งในรูปั้นที่อยู่ซ้ายมือด้านหน้าของ National Gallery เป็นรูปปั้นหินอ่อนขณะที่เธอตั้งครรภ์ได้แปดเดือน เธอพิการมาแต่กำเนิด โดยไม่มีแขนและมีขาสั้นเหนือเข่าทั้งสองข้าง ถ้าใครอยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้ ลองอ่านดูได้ที่เวปนี้แล้วกันนะ คลิ๊กที่นี่
เอาล่ะ ก็มาถึงไชน่าทาวน์ซะที คนเยอะมากๆเลยล่ะ แล้วก็เป็นช่วงอาหารกลางวันด้วยก็เลยยิ่งพลุกพล่านมากเป็นพิเศษ ก็คงจะเหมือนๆกับย่านไชน่าทาวน์ในทุกๆแห่งล่ะนะ ทั้งร้านอาหารให้เลือกมากมาย ร้านขายของสด ของชำ ลานตาไปหมด ยิ่งร้านอาหารแต่ละร้าน น่ากินทั้งนั้น ไมรู้จะเลือกร้านไหนดี ก็เลยสอดส่ายสายตามองหาคนไทยที่เป็นเจ้าถิ่นดูซิ เผื่อจะได้ถามว่ร้านไหนอร่อยมั่ง ก็เจอเข้ากับสองสาวไทย กำลังมาซื้อกับข้าวกัน เราเลยเข้าไปทักทายแล้วถามซะเลย เราก้บอกไปว่าอยากกินพวกติ๋มซำน่ะ เธอเลยบอกร้านนี้ค่ะJade Garden อร่อยมาก แต่อาจต้องเข้าคิวนะถ้าคนแน่น โฮะๆ ไม่มีปัญหาค่ะ ขอให้อร่อยเหอะ รอได้
หลังจากขอบคุณแล้วเราก็ตรงดิ่งไปร้านนี้ทันที มองเข้าไป โห คนแน่นจริงๆ ส่วนใหญ่เป็นคนจีนทั้งนั้นเลย อย่างนี้ได้รสชาติของแท้แน่นอน ไม่ใช่รสที่ทำให้ฝรั่งกิน ตอนจะเข้าประตู เกือบพลาดค่ะ ก็มันมีอยู่ 2 ประตู เราก็นึกว่าร้านเดียวกัน แต่มันคนละร้านค่ะ ถามคนที่ยืนเฝ้าประตู เค้าก็ดันพูดจีนอีก ฟังไม่รู้เรื่องจ้ะ จะรุนหลังให้เราเข้าไปท่าเดียว แต่มองเข้าไปแล้วมันโหวงเหวงง่ะ เลยถอยออกมาทัน เกือบไปแล้วสิ เอาล่ะ ก็เข้ามาแล้ว โชคดีมีโต๊ะว่างพอดี ไม่ต้องรอคิว เมนูจะเป็นแบบให้ติ๊กๆเอาว่าจะเอาอะไรมั่ง มีรูปให้ดูด้วย เราก็สั่งราดหน้ามาจานนึง กินด้วยกันกับบาร์ท แล้วนอกนั้นก็เป็นพวกติ่มซำทั้งหลาย อร่อยจริงๆ กินจนจุกไปเลย จ่ายเงินเสร็จตัวเบาเดินออกมาจากร้าน ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
ก็มันจุกนะ เลยเดินเรื่อยๆย่อยอาหารกันก่อน แล้วค่อยมาดูตอนต่อไปนะ