17 November 2006

มชล อัพเดต 4 ขวบ 5 เดือน

วันนี้ขอพักเรื่องเที่ยว มาเล่าเรื่อง มชล ดีกว่า เสร็จแล้วก็คงงดอัพเดทไปอีกเดือนหรือสองเดือนเลยคราวนี้ ธันวานี้จะกลับเมืองไทยแล้ว เย้ๆๆ ดีใจ ยังไงก็ต้องขอโทษใครต่อใครหลายคน ที่อุตสาห์เข้ามาติดตามเรื่องเที่ยวฟินแลนด์ ที่หายไปเพราะมีเรื่องนู่นนั่นนี่มาให้ทำ เลยไม่มีเวลามาเขียนต่อ ไว้เสร็จเรื่องสำคัญซักครึ่งนึงแล้วจะมาเล่าต่อนะ

เข้าเรื่อง มชล เลยแล้วกัน ตอนนี้ ก็ 4 ขวบกว่าๆจะครึ่งแล้ว ไปโรงเรียนได้ 3 เดือนกว่าๆ ช่วงสองสามอาทิตย์แรกยังอิดออดไม่อยากไป แต่เดี๋ยวนี้เธอชอบโรงเรียน อยากไปโรงเรียนทุกวัน ถ้าเธอดื้อ หรือไม่ยอมลุกจากที่นอน เราก็จะขู่ว่า งั้นไม่ต้องไปโรงเรียนนะ อยู่บ้านกับแม่ แค่นี้แหละ ได้ผล เธอก็จะไม่ดื้อ หรือรีบตื่นทันที

ที่โรงเรียนฝรั่งนี่ เด็กเล็กๆอย่างนี้ไม่ได้เรียนอะไรจริงจังหรอก เค้าไปเล่นซะมากกว่า แต่ว่าเป็นการเล่นแบบมีระเบียบ หัดให้เด็กรู้จักการเล่นกับคนอื่น ในห้องก็จะมีของให้เด็กเล่น เช่น จิ๊กซอต่อภาพ ระบายสี หรือวาดรูป คือจะเป็นการเน้นพัฒนาการเด็กซะมากกว่า เอ บี ซี ดี ก็ไม่เห็นได้เรียน มีแต่เราสอนเอง ฮ่าๆๆๆ ตอนนี้เค้าเขียนชื่อตัวเองเป็นภาษาดัชท์ได้แล้ว เราไม่ได้บังคับจับมาสอน แต่เค้าอยากเขียนเอง เราก็เลยมาสอน ส่วนภาษาไทย ก็ไม่ได้สอนจริงจัง แต่ใช้การพูดกับเค้าตั้งแต่เค้าเกิดแล้ว ส่วนการอ่าน ก ข นี่ ก็ไม่บังคับ ได้แต่เอาแผ่น ก ข มาแปะไว้ให้เค้าดูชินตาไปงั้นแหละ พอเค้าเริ่มสนใจอยากอ่าน เราก็ค่อยสอน เกือบสามขวบนี่ล่ะที่เค้าสนใจ ตอนนี้ก็อ่าน ก ข ได้หมดแล้ว ส่วนเลข 1-10 นี่ก็เขียนได้แล้ว ทุกอย่างนั้น ไม่เคยบังคับ เพียงแค่เอาสิ่งของพวกนี้มาไว้ใกล้ตา หากเค้าสนใจเราค่อยเริ่ม

มชล ชอบเล่นต่อจิ๊กซอมากๆเลย ชิ้นใหญ่สุดตอนนี้ก็ 50 ชิ้น เด็กนี่เค้าเก่งกว่าเรานะ เค้าต่อโดยไม่ดูภาพตัวอย่างเหมือนผู้ใหญ่ต่อเลย สังเกตดูเค้าจะใช้วิธี เทียบสี เทียบรูปร่างเอา อีกอย่างที่เธอชอบก็เกม memory เป็นการเปิดบัรรูปภาพให้ตรงกัน เค้าจำเก่งมากๆเลย ส่วนเรื่องโลดโผนนี่ เธอชอบเล่นบาร์โหน ที่เค้าเล่นยิมนาสติกกันน่ะแหละ ก่อนเข้าเรียนและหลังเลิกเรียน ต้องเล่นก่อน ไม่งั้นไม่ยอม เห็นลูกชอบ เลยให้ไปเรียนยิมนาสติกสำหรับเด็กเล็กทุกวันเสาร์เช้าแค่ชั่วโฒงเท่านั้น เค้าก็สนุก แต่ไม่ใช่คอร์สจริงจังสำหรับไปเป็นนักกีฬาหรอก ขนาดนั้นมันเกินไป เอาแค่ให้เค้าได้เล่นตามประสาเด็กก็พอแล้ว



ยิ้มพิมพ์ใจ


ทำไมผมหนูยาวช้าจัง อยากมีผมยาวกับเค้ามั่งค่ะ


เวลาถ่ายรูปพอบอกให้ยิ้มเธอก็ชอบยิ้มแบบนี้เรื่อยเลย




นี่ล่ะคะ หนูชอบมากๆเลย


จะกลับเมืองไทยแล้วค่ะ เจอกันใหม่ปีหน้านะคะ สวัสดีค่ะ

07 October 2006

ฟินแลนด์ ตอนที่1

จนได้ๆ กะว่าจะไม่ดองแล้วเชียวนา คราวนี้ไม่ได้ตั้งใจดองเลยจริงๆนะเนี่ย แต่ก็มีเหตุอีกจนได้ ก่อนหน้านั้นก็ยุ่งโน่นนี่ไปเรื่อย แล้วก็พอดีเพื่อนมาพักด้วยอาทิตย์นึง ก็เลยหนุกหนานกับเพื่อนไปก่อน ส่วนมากก็คุยๆๆๆแล้วก็กินๆๆๆๆๆ ฮ่าๆๆๆ ดีใจอ่ะ มีเพื่อนกิน ก็กินคนเดียวมันไม่อร่อย ไม่แซ่บนี่นา หลุดจากเพื่อน ก็จะมีลูกค้ารายแรกมาพักด้วย 3 คืน 4 วัน ก็มาพักอย่างเดียวแล้วเที่ยวเอง ก็เลยเตรียมบ้านต้อนรับลูกค้ารายแรกอีก จริงๆก็มีติดต่อมาพอสมควรล่ะ แต่ยังไม่มีใครกล้ามาเสี่ยง อิอิ มะใช่ๆๆๆ บ้างทีเราเองก็ไม่ว่างที่จะต้อนรับ ก็เลยคลาดกันเรื่อยมา พูดงี้เด๋วยิ่งไม่มีใครมากล้ากันพอดี ใครจะมาเที่ยวก็ยินดีต้อนรับนะคะ แอบโฆษณาเล็กๆ อิอิ

ที่ร่ายมายาวก็แบบว่าแก้ตัวนิดๆอ่ะนะ เพราะมีเพื่อนๆหลายคนแวะเวียนมาแล้วก็มาเจอหน้าเดิมๆ ก็ต้องขอบคุณและขอโต๊ดด้วยค่ะ ที่ทำให้ต้องมาเก้อ เอาเป็นว่า วันนี้มาอัพซะนิดนึงก่อนน้า อายๆจริงๆเลย มาๆๆๆไปกันเลยจ้า

เตรียมตัวก่อนเดินทาง

ยิ่งใกล้ถึงวันเดินทาง ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น อยากให้มาถึงไวๆ แทบอดใจไม่ไหวเลย แต่ก่อนการเดินทาง ก็ต้องเตรียมข้าวของที่จำเป็นต่าง เช่นอาหารการกิน จำพวกของแห้งที่สามารถขนไปได้ เรื่องกินนี้เรื่องใหญ่ อิอิ และที่ขาดไม่ได้คือ หนังสือท่องเที่ยวทั้งหลายแหล่ รวมถึงแผนที่เส้นทางขับรถด้วย อันนี้จำเป็นมาก การหาข้อมูลไว้ก่อนนี้จะทำให้เราไม่พลาดสถานที่ที่สำคัญ ไม่ถึงกับต้องไปทุกที่ แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากไป

ใช้มัน 3เล่มเลย


ครั้งนี้เราใช้หนังสือสามเล่มด้วยกัน ก่อนอื่นเราก็ดูก่อนเลยว่าที่ตรงไหนที่หนังสือแนะนำไว้ว่าไม่ควรพลาด หรือเป็นท๊อปเทน แล้วก็ทำลิสต์ไว้เลย จากนั้นก็มาดูว่ามันอยู่ตรงไหน อยู่ในเส้นทางเดียวกับที่เราจะไปหรือเปล่า หรือแม้ไม่ใช่เส้นทางผ่านโดยตรง แต่มีเวลาที่จะเลี้ยวลดคดโค้งไปมั่งได้มั๊ยอะไรแบบนี้แหละ ฮ่าๆๆๆ ดูเสร็จ วางแผนเสร็จตามที่เราชอบ ก็ไปถามแกมสั่งนิดๆ อิอิ ว่านี่นะ ตรงนี้นะ ถ้าเป็นไปได้เราไม่น่าจะพลาดนะ อะไรแบบนี้แหละ แต่ขนาดนี้ก็ยังมีพลาดจนได้ อิอิ



แล้วก็นี่แผนที่ เล่มสีแดงนั่นแสดงรายละเอียดของทุกเมืองในเยอรมัน( อันนี้จำเป็นเหมือนกัน เพราะบางทีขับหลงเข้าเมืองไป ก็ต้องใช้กันหน่อย) แล้วก็มีแผนที่เส้นทางเยอรมันตอนเหนือและตะวันออกติดกับโปแลนด์ แล้วก็มีแผนที่รวมแถบสแกนดิเนเวียอีกด้วย สุดท้ายสำคัญมากคือแผนที่ทั่วทั้งประเทศของฟินแลนด์นั่นเอง

บรรดาสเบียงต่างๆ


ส่วนอันนี้ขาดไม่ได้เลยนะนั่น บรรดาเสบียงต่างๆ ก็เป็นพวกเครื่องปรุง เช่น น้ำมันพืช น้ำปลา น้ำตาล ชากาแฟ ก็เอาแบบขนาดประหยัดไป ไม่พอค่อยไปซื้อใหม่ แต่ที่ขาดไม่ได้คือ ข้าวสาร เพราะจำเป็นอ่ะ ไม่ต้องกินทุกมื้อก็ได้ แต่ต้องเอาไปไว้ก่อน ข้าวไทยอร่อยที่ซู๊ดด แบบว่าถ้าไม่ได้กินข้าวติดต่อกันหลายวัน (คือหมายความว่ากินอย่างอื่นแทนข้าวมาหลายวันแล้วอ่ะ) มันรู้สึกแย่ ไม่รู้ใครเคยเป็นมั่ง แบบว่าวันนี้ต้องข้าวเท่านั้น ไม่งั้นไม่รอดแน่ ที่ไม่รอดเนี่ยก็คนข้างๆแหละอาจโดนพายุโมโหหิวจากเราเข้าให้
ฮ่าๆๆๆๆ เอารถไปเองมันก็ดีแบบนี้แหละ

มาถึงอันนี้ สำคัญมากถึงมากที่สุด ก็คือเจ้าฮาร์ดดิสตัวเล็กๆ เอาไว้โหลดภาพจากกล้อง เจ้าตัวนี้แหละทำให้เราถ่ายภาพแบบไม่ต้องเกรงใจ ถ่ายกันเข้าไปไม่ต้องกลัวว่าจะเต็ม เหมาะสำหรับเราคนถ่ายเป็นอย่างเดียว ถ่ายๆๆมันเข้าไป มันต้องมีซักภาพแหละที่สวยสมใจ หากใครสนใจก็ลองหาทางเนตดูแล้วกัน


เมื่อเตรียมของทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็มาเริ่มเดินทางกันเลยดีกว่า รอมานานแสนนานแระ

Day 1 (30/5/06)Einhoven(Netherlands)- Rostock(German)650 km.

ในที่สุดก็ถึงวันรอคอยซะที ในวันแรกนี้เราต้องขับรถจากบ้านไปเมือง Rostock ที่เยอรมัน ระยะทางประมาณ 650 กม. ถ้าขับรถโดยไม่พักเลยก็ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมงครึ่งถึงเจ็ดชั่วโมง เราจะต้องไปขึ้นเรือเวลา ห้าทุ่มของวันนี้ ดังนั้นเราจึงมีเวลาเหลือเฟือ ไม่ต้องแหกขี้ตาตื่นไปแต่เช้า แต่ถึงยังไงเราก็ตื่นเช้าอยู่ดี ด้วยความตื่นเต้น และจะได้มีเวลาตรวจตราของด้วยว่า ลืมอะไรมั่งหรือเปล่า

หลังจากจัดแจงกับอาหารเช้าง่ายๆแล้ว (รวมทั้งเตรียมข้าวผัดกับไข่เจียวไว้กินกลางทางด้วย) และจัดสัมภาระต่างๆใส่รถเสร็จเรียบร้อย เราก็พร้อมออกเดินทางกันในเวลาเกือบ 10 โมง เราเลือกใช้เส้นทางด่วน จากบ้านเราเข้าเยอรมันใช้เวลาไม่นาน เพราะบ้านเราอยู่ทางใต้ เส้นทางที่จะไปคือ Eindhoven - Venlo-Duisburg-Bremen-Hamburg-Rostock


คนนี้เธอเตรียมพร้อมแล้วค่ะ


ขับรถมาเรื่อยๆ เกือบสองชั่วโมงแล้ว ใกล้ๆจะถึงเมือง Bremen แล้ว เรียกว่าเกือบครึ่งทางแล้วล่ะ อีกอย่างก็เที่ยงแล้ว กะว่าจะหยุดพักกินข้าวกันข้างทาง จอดรถเสร็จเรียบร้อย เตรียมของลงมาจะปิคนิคซะหน่อย แล้วก็ได้เกิดอาการหัวเสียขึ้นมาเชียว เมื่อบาร์ทเธอจะกินกาแฟ แต่หากระเป๋าสตางค์ไม่เจอ เฮ้อ ไม่ได้หายค่ะ แต่เธอลืมเอามา น่าน ให้มันได้ยังงั้นสิ แหมเห็นเตรียมโน่นเตรียมนี่ แต่ดันลืมเอากระเป๋าสตางค์ใส่เป้มาด้วย เวลาเราเตือนเธอก็จะง่องแง่งนิดหน่อย แต่พอไม่เตือนแล้วเป็นไงล่ะ ที่จริงเงินน่ะไม่เท่าไหร่ เพราะเราเอากระเป๋าสตางค์มา บัตรเครดิตของเราก็มี คงไม่เดือดร้อน แต่ที่เดือดร้อนคือ มันไม่มีใบขับขี่อะดิ ใบขับขี่มันอยู่ในน้าน เดือนร้อนแล้วดิ ถ้าขับรถโดยไม่มีใบขับขี่ เกิดซวยโดนตำรวจเรียกหรือเกิดอะไรขึ้น แย่แน่เลย จะให้เราขับคนเดียว ก็ไม่ไหวอ่ะ ทั้งทริปยี่สิบกว่าวัน แย่แน่เลย

แล้วทำไงอ่ะ ก็ต้องขับรถกลับบ้านอ่ะดิ ตอนแรกมันจะไม่กลับ บอกขับไปงี้แหละ (เออ เริ่มเรียก มัน แล้ว )แต่ดูท่าก็รู้ว่ากังวล ขี้เกียจเถียง เด๋วมันก็เปลี่ยนใจเองแหละ ทำไม่รู้ไม่ชี้ ได้ผล แป๊บเดียวเท่านั้น มันก็บอกว่า อืม กลับก็ได้นะ ยังทัน กินข้าวกันก่อนแล้วค่อยกลับ กะว่า เสร็จบ่ายโมง ถึงบ้านบ่ายสาม แล้วออกใหม่ขับรวดเดียวก็จะถึงท่าเรือประมาณห้าทุ่มหรือเที่ยงคืน ยังทันขึ้นเรือนะ ถ้าไม่ทันจริงๆก็รอขึ้นตอนตีสามก็ได้ เพราะเรือจะออกจริงๆตีห้า โอเค มันเลือกไม่ได้นี่ แล้วก็บ่นมันตามระเบียบ แหม ลืมอะไรไม่ลืม ดันลืมใบขับขี่ บ้าจริง แต่มานึกอีกที ดีนะที่รู้ตัวซะตั้งแต่ครึ่งทาง ยังกลับตัวทัน ถ้าไปรูเอาที่ท่าเรือนั่น แย่แน่เลยเรา ต้องขับเองทั้งทริป คงได้ตบตีกันไปเที่ยวกันไปแน่เลย

จอดรถแวะกินกลางวันนี่แหละถึงได้รู้ว่าลืมกระเป๋าตัง

กินไปก็หน้างอไปด้วย


ในที่สุดก็เฆี่ยนรถกลับบ้าน ไปถึงบ้านบ่ายสามตามที่กะไว้พอดีเชียว แล้วเธอยังมีการโทรหาแม่เธอด้วยนะ บอกว่าตอนนี้อยู่บ้านจ้า ทำให้แม่แกงงเล่น จากนั้นเอาของสำคัญแล้วก็รีบออกตัวกันใหม่ แล้วเธอก็เลยจะเปลี่ยนเส้นทางอีกซะงั้น แบบว่าบ่ายๆแบบนี้ไปทางเก่ารถอาจติดได้ ไปทางใหม่กันเหอะ เราไม่เห็นด้วยนะ แต่นิสัยเธอก็มักจะชอบโน้มน้าวอยู่เรื่อย เอาเหอะ ตามใจ แต่คอยดูถ้าเจอรถติดเป็นได้หงุดหงิดแน่ แล้วอย่าหาว่าไม่เตือนล่ะ

แล้วก็เป็นดังคาด ทางที่จะไปติดแหงกตั้งแต่เริ่มต้นเลย ไปเจอเค้าทำทางอีก ขยับได้ทีละหน่อย นานๆเข้าก็เจอช่วงเวลาเลิกงาน เป็นไงล่ะ กว่าจะหลุดมาได้ สี่โมงเย็นแล้ว ยังไม่หลุดจากฮอลแลนด์เล๊ย ขี้เกียจบ่นมันแล้ว หลับดีกว่า หลับๆตื่นๆก็มาจนเกือบจะถึง Bremen ในเยอรมันแล้วล่ะ พักกินข้าวก่อนตอนทุ่มกว่าๆ กินเสร็จประมาณสองทุ่ม ก็บึ่งไปท่าเรือทันที เธอขับอย่างเดียวไม่มีบ่น จะจอดก็ตอน มชล ปวดฉี่เท่านั้น

งวดนี้ มชล เธอตื่นเต้นเป็นพิเศษ ไม่ค่อยหลับเหมือนทุกครั้ง มีหลับแค่ขามาช่วงเดียวเอง นอนนั้นตื่นตลอด เพราะเธอรู้ว่าจะไปขึ้นเรือใหญ่กัน เธอก็เลยเฝ้าคอยว่าเมื่อไหร่จะได้ขึ้นเรือใหญ่ซะที

แวะกินอาหารระหว่างทาง
ใส้กรอกเยอรมัน กินเมื่อไหร่ก็อร่อยเมื่อนั้น ชอบมากๆ



ในที่สุดเราก็มาถึงท่าเรือที่ Rostock ในเวลาอีก 10 นาทีจะห้าทุ่ม ทันเวลาพอดี มีรถจอดรอขึ้นเรืออยู่แล้ว แต่ก็ไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นรถจากเยอรมัน มีสัญชาติฮอลแลนด์ให้เห็นอยู่สองสามคันเท่านั้น (ถ้าเป็นช่วงซัมเมอร์จะได้เห็นเยอะกว่านี้อีก) มชล พอเห็นเรือเท่านั้น ตื่นเต้นมาก ตลอดทาง เธอไม่หลับเลย ทั้งๆที่นี่ก็ห้าทุ่มเข้าไปแล้ว เธอง่องแง่ง จะลงจากรถไปขึ้นเรือให้ได้เลย ต้องบอกว่า รอก่อนลูก ยังไม่ถึงเวลาเลย แต่ก็โห รอเช็คอินนานมั่กๆเลย เกือบเที่ยงคืนอ่ะถึงจะเช็คอินเข้าไปได้ เข้าไปแล้วก็ยังเอารถลงเรือไม่ได้ทันทีอีก ข้างในมีรถต่อแถวอยู่เยอะแยะแล้วด้วย ต้องไปต่อแถวข้างในอีกเกือบครึ่งชั่วโมง กว่าจะได้ขึ้นเรือจริงก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนกว่าแล้ว ช่วงขับรถลงไปใต้ท้องเรือ มชล เกิดการงอนง่องแง่งอีก เธอบอกว่าเธอจะขึ้นเรือ ทำไมไม่ให้เธอขึ้นล่ะ เราก็บอกว่า นี่ไงลูก ก็กำลังขับรถลงไปในเรือไงลูก เธอบอกว่า ไม่เอา จะเดินอ่ะ เออ เด็กหนอเด็ก

เฮ้อ กว่าจะจอดรถในเรือให้เรียบร้อยแล้ว กว่าจะขนของขึ้นไปเก็บ ก็ปาเข้าไปตีหนึ่ง เราก็อยากจะพักผ่อน แต่บาร์ทอยากจะไปสำรวจเรือ เอ้า ก็ลงไปอีก จริงๆไม่อยากไปเลย อยากพักมากกว่า แต่ มชล ก็ตื่นเต้นจนไม่ยอมนอนแล้ว ก็เลยพากันลงไปดูเรืออีก ยังไม่เล่าดีกว่าว่ามีอะไรมั่ง เอาไว้เล่าตอนหน้าดีกว่า เหนื่อยเหลือเกิน เอา มชล มานอนได้แล้ว ตีสองแล้วนี่นะ แต่กว่าจะหลับกันได้ ก็ตีสามโน่นแหละ ห่วงลูกเหมือนกัน กะว่าวันแรกจะเดินทางแบบสบายๆ กลายเป็นการเริ่มต้นที่โหดๆไปได้ซะนี่

อ้อ ระหว่างที่รอลงเรือนั้น บาร์ทก็โทรไปหาแม่เค้า บอกว่าตอนนี้ถึงแล้วนะ อะไรประมาณนั้น แม่เค้าบอกว่า ที่ฮอลแลนด์ตอนนี้ลมแรงมากๆ ส่วนที่เยอรมันทางตอนใต้มีหิมะตก เออ เอาเข้าไป หิมะตกต้นเดือนมิถุนาเนี่ยนะ อากาศวิปริตซะแล้ว แต่โชคดีตอนที่เราขับรถมาระหว่างทางในเยอรมัน มีฝนตกปรอยๆ แต่ก็ไม่ถึงกับเลวร้ายอะไร บาร์ทชอบปากเสีย ชอบพูดเรื่องลมแรง ฝนตก ก่อนขึ้นเรือ ยิ่งกลัวๆอยู่ ต้องอยู่บนเรือตั้งเป็นวันๆนี่ มองไปก็เห็นแต่น้ำกกับฟ้า ไม่ชอบเลย มันเวิ้งว้างซะจริงๆ

รอขึ้นเรือนี้แหละ


ภายในห้องนอน






เรือออกเดินทางตามเวลาตีห้า ตอนออกน่ะไม่รู้สึกตัวหรอก รู้สึกตัวอีกทีก็รู้สึกว่าเรือมันวิ่งแล้วนะ แต่นอนต่อแล้วกัน จะเอาวันที่สองมาต่อก็กลัวว่าภาพมันจะเยอะเกินไป โหลดกันไม่ไหว เด๋วพรุ่งนี้ตื่นมาค่อยมาเล่าต่อน้า อิอิ จะโดนต่อว่ามั๊ยเนี่ย

12 September 2006

ทริปฟินแลนด์



วันนี้ได้ฤกษ์เขียนบันทึกการเดินทางสำหรับทริปฟินแลนด์ซะที หลังจากที่ดองไว้นานมากกกกกก ไปตั้งแต่มิถุนา จนถึงวันนี้ก็สองเดือนเข้าไปแล้ว หุหุ แบบว่าเห็นรูปที่ถ่ายๆมาแล้วก็หนาว มันเยอะเหลือเกิน ทำไมตูถ่ายมาได้เยอะขนาดน๊าน ขนาดว่าจะโหลดรูปลงคอมก็เริ่มท้อซะแล้ว เออ เก็บไว้ก่อนเหอะ เอ้อระเหยลอยไปลอยมา ทำโน่นนู่นนี่ไปเรื่อย แบบว่าขอเวลาฮึดอีกหน่อย ใช้เวลาสองเดือนกว่าจะฮึดขึ้นมาได้ เบื่อตัวเองเหมือนกัน



ทำไมต้องไปฟินแลนด์ด้วยน้า น่านดิ ทำไม อืม แบบอยากไปประเทศที่เค้าไม่ค่อยฮิตไปกันมั้ง ก็มีส่วนนะ ประเทศอื่นๆที่ฮิตๆก็เห็นจนบ่อยแล้ว(แบบว่าไปแอบดูรูปของคนอื่นเค้า อิอิ)เลยลองไปที่ที่ยังไม่ค่อยมีใครไปก็น่าจะดี ส่วนเหตุผลอื่นๆ ก็คือ เจ้าของเงินเค้าอยากไป ฮ่าๆๆๆ ฝาละมีตูเองค่ะ ในยุโรปนี่เธอไปมาเกือบทั่วแล้ว มีฟินแลนด์นี่แหละที่เธอยังไม่ได้ไป เธอก็เลยอยากไป เออ ที่จริงเธอก็เคยไปแล้วนะ แต่ไปแค่แถวแลปแลนด์ แล้วไปแบบเดินแคมป์กันน่ะ แต่ขับรถเที่ยวทั่วประเทศนี่เธอยังไม่เคย(ตอนนี้อารมณ์ดีเลยเรียก "เธอ" เด๋วพอทะเลาะกันก็เริ่มเรียก"มัน" ฮ่าๆๆ) แล้วที่สำคัญ ตอนนี้เรายังเลือกได้ว่า อยากไปช่วงไหน เพราะคุณนาย มชล เธอยังไม่ต้องติดกฎว่าต้องไปโรงเรียนทุกวัน ถ้าเธอต้องเข้าโรงเรียนเป็นเรื่องเป็นราว (เพราะกฎหมายกำหนด)เราก็เหมือนจะติดคุกไปด้วย ต้องไปได้แค่ช่วงปิดเทอมเท่าน้น แล้วช่วงนั้น คนก็จะเยอะมากๆ แถมแพงมากๆอีกด้วย เพราะเป็นช่วงท่องเที่ยว โอยไหนจะคนเยอะแยะ แล้วยังต้องจ่ายแพงอีก

ส่วนอีกเหตุผลก็คือ ยุงเยอะ อืมจริงๆนะ ฟินแลนด์นั้นเป็นประเทศที่มีทะเลสาปเยอะที่สุด ฉายาประเทศนี้ก็คือประทศที่มีทะเลสาปเป็นพันๆเลย เพราะฉะนั้น ช่วงหน้าร้อนเนี่ยยุงจะเริ่มออกมายืดเส้นยืดสายกันแล้ว เริ่มปลายมิถุนา ถึง กรกฎา สิงหาเนี่ย ยุงจะเยอะมากกกกกกกก ตัวเป้งๆเลย เค้าว่างั้น เรียกว่าต้องมีหมวกที่มีตาข่ายยาวลงมาคลุมถึงคอ เพื่อกันยุงกันเลยทีเดียว เรายังไม่อยากเป็นไอ้โม่ง เราก็เลยตกลงไปช่วงต้นมิถุนากันดีกว่า นั่นก็คอที่มาของการไปฟินแลนด์ในปีนี้ สรุปง่ายๆก็คือ หนึ่ง มชล ปลอดจากกฎของโรงเรียน ไม่ต้องไปในช่วงไฮซีซั่น สอง ราคาย่อมเยาลงมาหน่อย และสาม เราไม่อยากเป็นไอ้โม่งคลุมหัวคุยกัน อิอิ

เมื่อตกลงกันได้ว่าจะไปฟินแลนด์กัน ก็มาถึงว่าจะเดินทางกันยังไงดี และจะเลือกที่พักแบบไหนระหว่างโรงแรมหรือบังกาโล ส่วนแบบกางเต้นท์นอนในแคมปิ้งนั้น ตัดไปได้เลย เราไม่ชอบด้วยกันทุ้งคู่ ไม่สะดวกทั้งเรื่องห้องน้ำห้องท่า เกิดฝนตกขึ้นมาอีกแย่เลย แล้วถ้าอากาศหนาวก็จะต้องยุ่งยากในการเตรียมผ้าห่มไปอีก ไม่อยากลำบากขนาดนั้น เด๋วจะเที่ยวไม่สนุก ส่วนโรงแรมที่จริงก็ง่ายดี แต่ไมสะดวกสำหรับ มชล เพราะไม่มีที่ให้เค้าได้เล่น กลางคืนหากเค้างอแง แล้วดันร้องเสียงดังแบบเอาไม่อยู่ ก็จะรบกวนแขกคนอื่นๆให้เค้าเหม็นขี้หน้าเราเปล่าๆ เผลอๆอาจมีการถูกเชิญให้ออกจากโรงแรมก็จะหมดสนุกกันอีก ดังนั้นเรื่องที่พักจึงมาลงตัวว่า ต้องพักบังกาโลเท่านั้น เพราะเป็นส่วนตัวดี ทำอาหารก็ได้ อันนี้สำคัญสำหรับคนกินอาหารฝรั่งอย่างเราไม่ได้ กินได้ แต่ไม่ชอบ กินมากๆพาลจะออกเอา มีที่วิ่งเล่นให้ มชล ซึ่งสำคัญมากสำหรับเด็กๆวัยนี้ เที่ยวกับเด็กนี่ต้องคิดมากหน่อย ไม่เหมือนเมื่อก่อนตอนยังไม่มีลูก ไม่ต้องคิดมากเท่าไหร่ พักยังไงก็ได้ขอให้พอใช้ได้ก็เอาเลย

ทีนี้มาถึงทางเลือกระหว่างไปเครื่องบินบินตรงจากฮอลแลนด์ไปเลยแล้วไปเช่ารถขับที่นั่นเพื่อร่นยะยะเวลาเดินทาง หรือจะเอารถของเราลงเรือไปเลยอันนี้สะดวกดี แต่ก็เสียเวลาเดินทางถึงสองวันเพราะต้องไปขึ้นเรือที่เยอรมัน แล้วต้องอยู่ในเรือหนึ่งวัน สรุปก็มาลงตัวว่าเอารถลงเรือไปแล้วกัน เนื่องจากมี มชล ไปด้วย เอารถไปเองจะสะดวกกว่า เราจะได้ขนของที่จำเป็นสำหรับเธอได้โดยไม่จำกัด ที่สำคัญและขาดไม่ได้ คือบรรดาของเล่นต่างๆของเธอนั่นเอง ข้อดีอีกย่างคือ อยากขนอะไรก็ขนไปได้เท่าที่ท้ายรถจะเอื้ออำนวย รวมทั้งเครื่องปรุงต่างๆ เพราะหากขึ้นเครื่องก็จะมาถูกจำกัดน้ำหนักกระเป๋าซะอีก

จบจากเรื่องการเดินทางการเลือกทีพัก ก็มาถึงเรื่องจะเลือกทัวร์แบบไหนดี จะซื้อเป็นแพคเกจแบบที่เค้าจัดเส้นทางการเที่ยวให้แล้วรวมถึงจองเรือจองที่พักไว้ให้เรียบร้อยแล้ว หรือว่าเราจะมาจัดทริปเองว่าจะไปในบ้างแล้วก็จองที่พักเอง อันไหนจะถูกกว่าและดีกว่ากัน ก็สรุปได้ว่า เอาแบบแพคเกจดีกว่า เพราะทริปนี้เรากะจะไปซักสามอาทิตย์ เอาแบบไม่เร่งรีบ เที่ยวไปเรื่อยๆ ดังนั้นการซื้อแพคเกจนี่จะดีตรงที่ว่าจองหนเดียวได้ครบทุกอย่าง หากเราจัดเส้นทางเอง จองที่พักเอง ก็จะเจอปัญหาแบบว่า ที่แรกว่าง ที่ที่สองไม่ว่างในวันที่เราจะไป เอ้าต้องมาเปลี่ยนใหม่ พอเปลี่ยนลงตัว เอ๊ะ ที่พักแห่งที่สี่ไม่ได้อีก อะไรแบบนี้แหละ

เมื่อตกลงว่าเราจะไปแบบแพคเกจ ก็มาถึงเลือกว่าจะไปเจ้าไหนดี แต่ละเจ้ามีข้อดีข้อเสียอย่างไร เจ้าแรกที่เราดูเป็นของสแกนดิเนเวีย อันนี้รายการเที่ยวน่าสนใจทั้งระยะเวลาและสถานที่รวมถึงที่พักด้วย แต่ราคาทริปไม่รวมค่าเรือนี่สิ ทำให้คิดหนัก ต้นทุนแพงค่ะ มองหาที่ใหม่ ก็มาเจอของ www.voigt-travel.nl มีทริป 18 วัน เมืองที่ไปก็คล้ายๆกับเจ้าแรก ที่พักก็ใช้ได้ตรงตามความต้องการของเรา ระยะเวลาที่พักแต่ละที่ก็สามคืนขึ้นไป ใช้ได้เลย เหมาะกับการเที่ยวแบบมีเด็กพ่วงไปด้วย เพราะเค้าจะได้มีเวลาพักบ้าง ไม่ต้องเร่งรีบเดินทาง (เห็นมั๊ย จะไปไหนกับเด็กเล็กต้องคิดมาก ถ้าไม่มีลูก ไปโลด ขับรถกันเป็นวันๆโน่นเลย) )แต่ที่ดึงดูดใจคือ ค่าทริปนั้นมันรวมค่าเรือด้วย อันนี้สำคัญมากๆ เพราะมันทำให้เราประหยัดค่าเรือไปได้หน่อยนึง ก็ยังดีใช่ป่าว อืม กลับมาก็เกือบล้มละลายกันไปเลย ฮือๆๆ แต่ทนได้ ก็อยากไปเที่ยวนี่

ตกลงว่าเราเลือกไปทริปนี้กัน รีบจองกันหน่อย เราตกลงจะไปต้นเดือนมิถุนา จองกันตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาโน่นเลย กลัวพลาด อันนี้ไม่เวอร์ค่ะ ขอบอก ถ้าชักช้าก็จะเต็มต้องมานั่งหาใหม่อีก เหนื่อยแย่เลย รายละเอียดของการเดินทางในทริปนี้คือ



วันที่ 1 จากฮอลแลนด์ขับรถเข้าเยอรมัน มุ่งหน้าไปขึ้นเรือที่เมือง Rostock ท่าเรือของประเทศเยอรมัน ใช้เวลาอยู่บนเรือ 24 ชั่วโมง

วันที่ 2 ใช้เวลาอยู่บนเรือทั้งวัน

วันที่ 3,4,5 เช้าตรู่วันที่ 3 ถึงฟินแลนด์ที่เมือง Hanko และมุ่งหน้าสู่ที่พักที่ Himos-Jämsä พักที่นี่ 3 คืน

วันที่6,7,8 เช้าวันที่ 6 ออกเดินทางจาก Himos/Jämsä ไปยังจุดที่สองคือ Sotkamo/Vuokatti พักที่นี่ 3 คืน

วันที่9,10,11,12,13 เช้าวันที่ 9 ออกเดินทางจาก Sotkamo/Vuokatti ไปจุดที่สามไปยังเขต Lapland โดยไปพักที่เมือง Salla เราจะพักที่นี่ 5 คืน

วันที่14,15,16 เช้าวันที่ 13 ออกจาก Salla ไปยังจุดที่สี่ที่เมือง Koli พักที่นี่ 3 คืน

วันที่17,18 เช้าวันที่ 17 ออกจาก Koli ไปยังจุดที่ห้าที่เมือง Heinola พักที่นี่ 1 คืน

วันที่19,20 เช้าวันที่ 19 ออกจาก Heinola ไปยังจุดสุดท้ายคือ Helsinki ตามโปรแกรมของทัวร์วันนี้จะเป็นวันสุดท้าย คือเที่ยวที่นี่แล้วขับรถต่อไปลงเรือในตอนกลางคืน แต่เรายืดเวลาออกไปอีกหนึ่งวัน เพื่อที่จะได้มีเวลาเที่ยวชมเมืองหลวงให้เต็มที่ เราจึงพักที่นี่ 1 คืน

บ่ายวันที่20 วันนี้เป็นวันสุดท้ายในฟินแลนด์แล้ว ช่วงเช้าก็เที่ยวชมเมือง บ่ายเราต้องขับรถมุ่งหน้าไปท่าเรือที่เมือง Hanko ขึ้นเรือกลับบ้าน

วันที่ 21 ลอยคออยู่กลางทะเล และถึงฝั่งที่เมือง Rostock เยอรมันในตอนเย็น เราพักค้างคืนที่นี่ 1 คืน

วันที่ 22 ช่วงเช้าเดินชมเมือง Rostock เที่ยงขับรถมุ่งหน้าสู่ฮอลแลนด์

แผนการเดินทางเรียบร้อยแล้ว รอวันออกเดินทางกันได้เลยจ้า

28 August 2006

อัพเดตกันหน่อย

ดองบล๊อคไว้นานมากกกกกกก จนเกือบจะจำไม่ได้แล้วว่าต้องทำไงมั่ง ก็ช่วงซัมเมอร์อ่ะนะ ก็เลยทำตัวเอ้อระเหยลอยไปลอยมา ทำสวนมั่ง เล่นเป็นเพื่อนลูกมั่ง ตอนนี้โรงเรียนเปิดแล้ว มชล ไปโรงเรียนแล้ว แม่ก็แอบดีใจเล็กๆ ได้ไปโรงเรียนทุกวันแล้ว เข้าแปดโมงสี่สิบห้า เลิกบ่ายสาม ยกเว้นวันพุธไปแค่ครึ่งวัน จริงๆตอนพักเที่ยงเค้าให้เด็กกลับมากินกลางวันที่บ้านได้ แล้วพอบ่ายโมงค่อยกลับเข้าเรียนใหม่ แต่แบบนี้ไม่เอาดีกว่า เทียวรับเทียวส่งกันอยู่นั่นล่ะ ก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี เลยให้เค้ากินที่โรงเรียนนั่นแหละ ตกแล้วก็เดือนละเกือบห้าสิบยูโร นี้ไม่รวมอาหารนะ เป็นค่าดูแลอย่างเดียวแค่พักเที่ยง อาหารน่ะเราต้องเตรียมไปเอง

วันแรกไปโรงเรียนร้องไห้จ้าเลย แต่ดีที่ครูมาอุ้มไปปลอบ เลยค่อยหายกังวลหน่อย (ตอนเค้าอยู่เตรียมอนุบาล ครูไม่ดีเลย ไม่ปลอบ ปล่อยให้ร้อง แบบว่าร้องได้เด๋วก็เงียบได้อะไรแบบนั้น ทำให้ มชล เป็นโรคไม่อยากไปโรงเรียน) วันแรกผ่านไป ครูบอกร้องไห้บ่อย พอไม่เห็นครูก็ร้อง ช่วงเที่ยงจะมีครูอีกชุดมารับพาไปกินข้าว เธอก็ร้องอีก แต่ครูก็บอกว่าไม่ต้องกังวลหรอก เด๋วก็คงดีขึ้นเรื่อยๆ เจอครูดีก็โล่งใจไปหน่อย

วันแรกเตรียมขนมปังไปให้ แล้วก็แอปเปิ้ล กลับมาขนมปังยังอยู่เหมือนเดิม ยังดีที่กินแอปเปิ้ลหมด (ครูเค้าจะไม่บังคับถ้าเด็กไม่กิน แต่มีโน๊ตกลับมาให้เรา แบบว่าสอบสวนลูกเธอเองนะว่าทำไมไม่กิน) เราก็กังวลใจ ทำไงดี กลัวลูกหิว วันรุ่งขึ้นถาม มชล ถ้าไม่กินขนมปังงั้นนเอาข้าวไปกินที่โรงเรียนมั๊ย เธอพยักหน้า เลยเตรียมข้าวกับไก่ทอดใส่กล่องขนมปังนั่นแหละไปให้ พ่อเค้าเห็นก็ทำหน้างงๆ ก็เด็กฝรั่งมันกินขนมปังกันนี่นะ เราก็บอกช่างเหอะ ถ้าจะกินข้าวก็เอาข้าวนี่แหละ ไม่เห็นแปลกเลย ขอให้กินเหอะ ได้ผลค่ะ กลับมาข้าวพร่องไปเกือบหมด

พอวันที่สองเอาข้าวกับหมูทอดไป คราวนี้กลับมาหมดเลย เอาวะ ข้าวก็ข้าว เด๋วถ้าเค้าเริ่มเห็นว่า เอ๊ะทำไมตูกินไม่เหมือนเพื่อน ก็คงจะนึกอยากกินขนมปังไปเองแหละ แล้วก็ได้ผล อาทิตย์แรกผ่านไป เริ่มเรียกร้องจะกินขนมปัง แต่แม่มันยังแกล้งลูกอีก วันจันทร์ของอาทิตย์ที่สองก็เอาข้าวให้ มชล ไปอีก กลับมาเหลือมาหน่อยนึง แล้วเธอก็บอกว่า พรุ่งนี้ไม่เอาข้าวแล้วนะ เอาขนมปัง เฮ ได้ผลแล้ว ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ อย่างนี้เตรียมง่ายมากเลยไอ้ตูด

จริงๆก็หัดให้ มชล กินขนมปังนะ หัดให้กินอาหารฝรั่งทุกอย่าง ให้กินตามพ่อเค้า เพราะเค้าต้องอยู่ที่นี่จะมากินแต่อาหารไทยอย่างเดียวก็ไม่ได้ แต่เค้าไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ยิ่งชีสเนี่ยไม่ยอมกินเลย ทั้งๆที่ไม่เคยลองนะ แต่เค้าก็ไม่กินเอง เลือดไทยมันแรง ฮ่าๆๆๆ ยิ่งผลไม้ไทยนี่ชอบมากๆเลย

ไปโรงเรียนช่วงนี้เริ่มดีขึ้นแล้ว ไม่ร้องไห้แล้ว แต่ก็ยังอิดออด แบบสองจิตสองใจ ในห้องเรียนแต่ละคนจะมีเก้าอี้ประจำตัว จัดเป็นรูปวงกลม แต่ละวันครูจะสลับสับเปลี่ยนให้นักเรียนได้นั่งติดกับครู อาทิตย์แตก มชล ได้นั่งติดครูมั่ง หรือตัวที่สองมั่ง เพราะเธอยังติดครูอยู่ แต่ตอนนี้เริ่มไม่ร้อง เริ่มเล่นกับเพื่อนมั่งแล้ว ครูเลยลองเริ่มกระเถิบไปนั่งไกลๆมั่ง แรกๆเธอจะไม่ยอม ก็ต้องบอกกันว่าผลัดกันนะลูก เด๋วนี้ไม่มีปัญหาแล้ว อืม ก็โล่งใจไปได้หน่อย ไม่งั้นแย่เลย ไปส่งโรงเรียนทีเวลากลับบ้านทีไรใจแป้วทุกที

โม้เรื่องลูกไปเยอะแล้ว มาถึงเรื่องทำสวนมั่ง อันนี้ชอบมาก แต่ไม่ถึงกับอยากเป็นชาวสวน เอาแค่งานอดิเรกก็พอ อยากปลูกผักสวนครัว แต่สวนหลังบ้านฝาละมีไม่ยอมให้ทำ เค้าบอกขอไว้ให้ฉันได้มีที่นั่งเล่นมั่งสิ เลยต้องไปเช่าที่ที่อำเภอเค้าจัดไว้ให้ ก็ไม่ใหญ่หรอก 100 x 100 ตรม. อ่ะ มีที่ว่างพอดี แต่ว่าที่ตรงนั้นมันมีต้นไม้ใหญ่ แดดส่องแค่ช่วงเช้าแล้วก็บ่ายนิดเดียวเอง แต่ก็เอาไว้ก่อน เพราะเค้าบอกว่าถ้ามีที่อื่นเค้าเลิกไม่ทำแล้ว เราจะเปลี่ยนทีหลังก็ได้ โดยไม่ต้องรอคิวแล้ว มีสิทธิ์ได้เลือกก่อน ก็เลยเอา อีกอย่างก็เป็นการทดลองเริ่มต้นไปในตัวด้วย

ช่วงแรกต้องให้บาร์ทไปช่วยขุดดินยกร่องให้ก่อน ขุดเองคนเดียวไม่ไหวอ่ะ ตอนแรกเธออิดออด ก็เลยบอกว่า โหถ้าเธอไม่ช่วยชั้นเนี่ย กว่าจะได้ปลูกพอดีหน้าร้อนหมดซะก่อนก็จบเห่เลย วันแรกไปถึงก็มีหลายๆคนมาดู กั่กๆๆๆ แบบว่าเราเด็กใหม่อ่ะ เด็กจริงๆนะ ไม่เก็ได้ไง ก็ส่วนใหญ่น่ะเป็นคนแก่ๆแบบว่าห้าสิบหกสิบขึ้นแล้วน่ะ ก็ดีนะ มาช่วยสอน ช่วยลุ้น บางคนให้ต้นสตรอร์เบอรรี่มา (ดีไม่ต้องซื้อ ) บางคนให้มันฝรั่ง บางคนก็มาช่วยขุดดินแล้วก็สอนพรวนดินด้วย


โดนบังคับให้ช่วยนะเนี่ย ก็แค่ช่วงแรกนี้ล่ะ




สรุปวันแรกก็ลงสตรอเบอร์รี่ได้สองแปลง แล้วก็มันฝรั่งหนึ่งแปลง โดยที่เราไม่ได้ซื้อเลย แล้วก็ลงถั่วแขกไว้หนึ่งแปลง ผักคะน้าแล้วก็ผักบุ้งจีนอย่างละครึ่งแปลง อ้อ แล้วก็แครอทหัวเล็กๆด้วยอีกครึ่งแปลง แล้วลุงๆเหล่านั้นก็แวะเวียนมาดูด้วยว่าสวนเราเป้นไงมั่ง ฮ่าๆๆๆ เต่เนื่องจากว่าช่วงนั้นดันหนีไปเที่ยวฟินแลนด์ซะสามอาทิตย์ กลับมาถั่วตายเรียบ ส่วนคะน้า ผักบุ้งจีน แล้วก็แครอท มันคงจะอาย ไม่ยอมโผล่หน้ามาเลย ส่วนสตรอเบอร์รี่ก็เกือบตาย แต่ยังไม่ตาย มันตายยากแค่เราเติมน้ำเข้าไปเยอะๆ ทุกวัน มันก็ฟื้นคืนชีพมาได้ใหม่แระ (ถ้ารากมันยังไม่แห้งนะ) แล้วลุงคนนึงเค้าคงสงสารมั้ง อีนี้มันไม่ได้เรื่องเลย เค้าเลยให้ต้นกล้าถั่วแขกมาลงใหม่ แบบว่าเค้าบอกมันเหลืออ่ะ รู้สึกขายหน้ายังไงไม่รู้ว่ะ ฮ่าๆๆๆๆ แถมแกยังลงมือช่วยปลูกด้วย แบบว่าคงกลัวมันตายอีกมั้ง ฮ่าๆๆๆ

อันนี้กลับจากเที่ยวก็มาเพาะต้นกล้าใหม่อีก แล้วก็มีมะเขือเทศพันธ์เชอรรี่ แบบว่าเพราะไว้ก่อนไปเที่ยว แล้วเอาไปฝากเพื่อนให้ดูให้ กลับมาก็เอามาลง อ้อ แล้วก็มีต้นข้าวโพดอีกสี่ห้าต้น ลงไว้ก่อนไปเที่ยวเหมือนกัน แต่มันโตแบบแคระ เลยจัดการขุดแล้วย้ายมาปลูกใหม่ตรงที่ที่แดดส่องถึง ตอนนี้มันออกฝักแล้ว เย้ ได้ผลเหมือนกัน คือจริงๆแล้วเนี่ย เห็นสวนของเราแล้วปวดใจ เพราะมันโตแบบไม่เต็มใจเท่าไหร่ เนื่องจากแดดมันคงไม่พอมั้ง อีกอย่าง เนื่องจากตรงนั้นมันมีต้นไม้ใหญ่ พอถึงหน้าใบไม้ร่วง ที่ตรงนั้นมันก็เลยเต็มไปด้วยใบไม้เยอะมากๆ ดินมันคงจะเปรี้ยวเกินไปหรือไงนี่ล่ะ ปลูกอะไรมันเลยไม่ค่อยจะงาม เพราะของคนอื่นน่ะ งามหยดย้อย ใบเบ้งๆทั้งนั้นเลย แล้วมีความเปิ่นอีก ไอ้ถั่วแขกเนี่ย เราก็นึกว่ามันต้องเลื้อยหมดแหละใช่มั๊ย แต่ไม่ใช่ค่ะ มันมีแบบที่ไม่ต้องเลื้อยด้วย มันสูงแค่ไม้บรรทัดเอง แหมดันทำร้านให้มันเรื้อยอย่างดี ดีที่ได้ถั่วของลุงๆท่านมาช่วยกู้หน้าเลื้อยให้ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ

ทีนี้เห็นว่ามันเพิ่งเดือนกรกรฎาเอง อากาศยังร้อนอยู่ เลยลองเพาะผักคะน้ากับผักบุ้งใหม่ดิ๊ เอ๊ะ มันงอกแฮะ ด้วยความอยากรู้ว่าทำไมมันจึงไม่ยอมขึ้นที่สวนล่ะเนี่ย เป็นเพราะแดดมันไม่จัดหรือเปล่า ก็เลยแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกเอาไปปลูกลงกระถางแล้วตั้งไว้สวนหลังบ้านเรานี่แหละ ที่เหลือเอาไปปลูกที่สวน เพราะลุงแถวนั้นบอกว่าไม่เกี่ยวกับแดดหรอก เราก็เถียงในใจ ไม่เกี่ยวได้ไง ปุ๋ยก็ใส่ไปตั้งเยอะนะ ผลปรากฎว่าที่อยู่ในกระถางนะงามแท้เพราะได้แดดเต็มที่ ส่วนคะน้าที่ปลูกไว้ที่สวนโตเหมือนกัน แต่สู้ที่บ้านไมได้ นอกนั้นก็เพาะต้นบวบเหลี่ยมกับน้ำเต้าด้วย งามมาก ใบเท่ากระด้งเลย อันนี้ก็ปลูกในกระถางตั้งไว้หลังบ้านเหมือนกัน แต่จะได้กินมันป่าวไม่รู้ คงไม่ทันแน่เลย มันเริ่มจะเย็นๆแล้วด้วย เลือกเอาไปลงที่สวนด้วย ผลหรอคะ ตายเรียบอ่ะ ถึงไม่ตายมันก็ไม่โต แคระแกรนอยู่อย่างนั้น นี่ก็จ้องๆอยู่ เด๋วใครเลิกทำจะขอย้ายที่แล้วล่ะ

อ้อ แต่ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรเลยนะ มีเจ้าถั่วแขกนี่ล่ะที่เป็นหน้าเป็นตาให้เราได้ ก็เก็บกินไปห้าหกครั้งแล้ว ครั้งละเกือบกิโลเชียว กินไม่ทันก็เอาไปให้เพื่อนคนสิงคโปร์มั่ง ให้คนดัชท์มั่ง แต่ก็ต้องเลือกด้วย ให้สุ่มสี่สุ่มห้า เด๋วเค้าจะว่าเราได้ว่ามาให้ทำไม หุหุ อ้อ แล้วมีอีก ช่วงแรกน่ะ สวนคนอื่นเค้าก็งามรุ่งโรจน์กัน เก็บเกี่ยวผลกันไปเยอะแล้ว ของเรานี่ยังไม่ได้อะไรเลย ลุงๆทั้งหลายก็พากันเอามาแบ่งให้เรา อุ๊ย อายเหมือนกันนะ ก็ทำสวนเหมือนกันนี่นะ

เขียนมาเรื่อยเปื่อย โหย ยาวเหมือนกันแฮะ จบมันดื้อๆงี้ล่ะ เอารูปผลงานมาดูดีกว่า แต่มีรูปไม่ครบอ่ะนะ ไปทีไรก็ลืมเอากล้องไป เลยไม่มีรูปต้นข้าวโพด สตรอเบอร์รี่แล้วก็มันฝรั่ง


ถัวแขก







มะเขือเทศ เมล็ดที่ปลูกก็เอามาจากที่เหลือกินนั่นแหละไม่ได้ซื้อ มันก็งามได้





ผลผลิตรุ่นแรกๆ



ผักบุ้งจีนในกระถาง



มะเขือเทศพันธ์เชอร์รี่ในกระถางก็งามได้เหมือนกัน



น้ำเต้ากับบวบเหลี่ยมในกระถางเหมือนกัน



พริกชี้ฟ้าหรือพริกขี้หนูก็ไม่แน่ใจ เพราะว่าเพาะหลายรอบกว่าจะขึ้นในกระถาง งามมาก รอลุ้นอยู่



ผักคะน้า



ผักบุ้งจีนเอามาผัดไฟแดง



ถั่วแขกรอบถัดไป สามสี่วันไปเก็บทีก็ได้เป็นกิโล



อันนี้คะน้า เอามาทำราดหน้ากิน



มันฝรั่ง สองกิโลได้มั้ง ปีนี้โชคร้าย มันร้อน ผลผลิตเลยได้น้อย


27 June 2006

มิเชลเลอร์ 4 ขวบแล้วค่ะ


วันพรุ่งนี้ 28 มิย มชล ก็จะ 4 ขวบแล้ว เร็วเหมือนกันไอ้ตูดเอ๋ย มานึกดูมันก็ผ่านไปเร็วเหมือนกัน เห็นแบเบาะอยู่ไม่เท่าไหร่ แป๊บเดียวก็ 4 ขวบแล้ว ดื้อและเถียงเก่งเป็นที่สุดเลย นึกแล้วอยากให้กลับไปแบเบาะเหมือนเดิม จะได้ไม่ต้องมีปากมีเสียงอีก

ออกมาดูโลกได้แค่ 3 ชั่วโมงเอง


ตอนนี้ 6 เดือน ที่เมืองไทย


ตามธรรมเนียมก็ต้องฉลองกันหน่อย อันนี้ที่โรงเรียนเตรียมอนุบาล ทั้งฉลองวันเกิด แล้วก็อำลาเพื่อนร่วมชั้น (วุ๊ยตัวแค่นี้ก็มีการร่ำลากันด้วย)เพราะกลางสิงหาปีนี้เธอก็จะไปโรงเรียนแบบเต็มขั้นแล้ว ไปทุกวัน เก้าโมงเช้าจนถึงบ่ายสามเลย สบายแม่ล่ะไอ้ตูดเอ๊ย

เรียกไอ้ตูดเนี่ยรู้นะว่าแม่ล้อ จริงๆเธอไม่รู้หรอกว่ามันแปลว่าอะไร (รู้แต่คำสุถภาพว่า ก้น อิอิ) แต่จากน้ำเสียงที่เราเรียก เค้าก็รับรู้ได้ว่า แม่เรียกด้วยความหมั่นไส้ เธอจะไม่ชอบเลย จะรีบบอกทันทีว่า มชล ไม่ไอ้ตูด มชล น่ารักที่สุด แล้วก็มาเซ้าซี้ให้เรายอมรับว่าเธอน่ารักที่สุด ถ้าไม่รับก็จะพูดๆๆๆอยู่นั่นล่ะ จนกว่าเราจะยอมรับเธอถึงจะหยุด

สำหรับงานวันเกิดที่โรงเรียนนี้ เจ้าของงานก็จะได้นั่งตรงกลาง วันนี้มี 3 คน ก็จะได้รับแจกหมวกกันคนละใบ แล้วก็มีการร้องแฮปปี้เบิร์ดเดย์กัน เป่าเทียน แล้วก็ให้เจ้าของงานเลือกเพลงอื่นที่ตัวเองชื่นชอบมาร้องด้วย จากนั้นก็จะได้รับของขวัญจากครู เสร็จแล้ว เจ้าของวันเกิดก็จะเอาของที่แม่เตรียมไว้มาแจกเพื่อนด้วย ก็มีเม่านี้ล่ะ สำหรับภาพวันนี้ถ่ายมาไม่ได้เรื่องเลย ภาพไม่ชัด เพราะถ่ายแบบรีบๆ เด็กๆทำอะไรรวดเร็ว จับภาพไม่ทันเลย

เจ้าภาพนั่งตรงกลาง






เพื่อนๆ


เพื่อนๆ


ร้องเพลงมิคกี้เมาส์เพลงโปรดของ มชล


มชลเป่าสี่ครั้งเท่าอายุเธอเลย





แล้วก็เลือกของขวัญ หนุ่งข้างซ้ายยังไม่ถึงคิวเลย ขอร่วมด้วยคน ครูต้องปรามไว้ก่อน


แกะเร็วๆสิเธอชั้นอยากรู้ว่าเธอได้อ่ะไร




จ้องกันด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าเพื่อนได้อะไร


ครูเอาผลงานบางส่วนมารวบรวมเป็นสมุดให้ไว้เป็นที่ระลึก


แล้วก็จะเอาของขวัญมาแจกเพื่อนๆ แต่ต้องหลับตากันก่อนนะ


เอาเปิดตาได้แล้ว นี่ของเธอจ้ะ




นี่ของครูค่ะ


ฉลองเสร็จก็ได้เวลากลับบ้านพอดี วันนี้ Bryan ตามมาเล่นที่บ้านด้วย ปกติ มชล ไม่ค่อยชอบเล่นกับเด็กๆด้วยกัน เธอจะชอบเล่นกับผู้ใหญ่มากกว่า คงเป็นเพราะเป็นลูกคนเดียว ไม่ได้เข้าเนอสเซอร์รี่ อยู่กับเรามาตลอด เค้าจะเล่นกับเด็กบางคนเท่านั้น แต่เท่าที่สังเกตุดู ถ้าเจอเด็กที่ออกไปทางเอเชียด้วยกัน จะเข้ากันได้ดีเป็นพิเศษ เหมือนเค้าเจอพวกเดียวกันหรือไงก็ไม่รู้ Bryan นี่ก็ลูกเสี้ยวอินโด แม่เค้าเป็นลูกครึ่งดัชท์อินโดนีเซีย ส่วนพ่อเป็นคนอินโดนีเซีย พอเจอกันก็คลิ๊กทันทีเลย กลายเป็นเพื่อนซี้กันในห้อง มีเด็กลูกคึ่งเอเชียอีกสองสามคน มชล ก็เล่นกับเค้าได้ดีเหมือนกัน แต่เพื่อนคนดัชท์จริงๆ ก็เห็นมีอยู่คนเดียวที่เธอเล่นด้วยได้

เพื่อนซี้ Bryan เสียดายปีหน้าเราไม่ได้อยู่โรงเรียนเดียวกันแล้ว แต่บ้านเราใกล้กัน ว่างแล้วมาเล่นกันนะ


นี่ๆ เธอเล่นไม่เป็น ชั้นสอนให้




นี่ดูซิ เค้าเก่งป่าว




พรุ่งนี้จะได้อะไรเป็นของขวัญนะ อยากรู้จริง