26 February 2008

เที่ยวฟินแลนด์ ตอนที่ 3 ทัวร์ชมโบสถ์

Day 4 02/06/06 ชมโบสถ์ไม้เมืองเกอูรู ( Keuruu ) แล้วต่อด้วย“Petäjävesi Old Church” โบสถ์ไม้เก่าแก่ แล้วจบที่เมือง Jyväkylä

คืนแรกในฟินแลนด์ ทั้งๆที่ก็เหนื่อยแต่ก็นอนไม่ค่อยจะหลับอีก ตื่นมาตอนแรกเห็นแดดจ้า นึกว่าสายแล้ว ที่ไหนได้เพิ่งจะตีสามเองง่ะ โห เรียกว่ากลางคืนนี้สั้นมากจริงๆเลยอ่ะ เอ้า ก็ต้องกล้ำกลืนนอนกันต่อไป แถมหลับยากอีกต่างหาก ผ้าม่านก็ดันเป็นสีขาวอีก ไม่ได้ป้องกันแสงอะไรเล๊ย งงจริงๆ ทำไมเค้าไม่ใช้ม่านสีอื่นนะ แล้วก็พบว่าเป็นแบบนี้ทุกที่ที่เราเข้าพักเลย อันนี้เราไม่ชอบอย่างแรง เพราะหลับไม่สบายอ่ะ ก็หลับๆตื่นๆ พลิกไปพลิกมา จนมาตื่นกันอีกทีก็ปาเข้าไปเก้าโมงเช้า อ๊ายยยย ต้องรีบจัดการอาหารเช้ากันแบบลวกๆอีกแล้ว เพราะทางรีสอร์ตเค้านัดประชุมลูกทัวร์ตอน 10 โมงเช้า เพื่อชี้แจงรายละเอียดว่า ที่นี่เค้ามีกิจกรรมอะไรให้เราทำบ้าง แล้ววันนี้เราก็จะได้พบเพื่อนร่วมทางอีกสามสี่กลุ่มที่เราอาจจะได้เจอกันอยู่บ่อยๆ เพราะมาในช่วงเดียวกันและจะได้พักในที่เดียวกันตลอดระยะเวลาการเดินทางในครั้งนี้อีกด้วย

พอสิบโมงเราก็มาพร้อมกันที่รีเซฟชั่นของรีสอร์ต ก็เจอกับผู้ร่วมทัวร์อีกสามคู่ แน่ล่ะคนดัชท์ทั้งนั้น แล้วก็เป็นผู้สูงอายุหมดเลยยกเว้นเรา อิอิ ( ช่วงนี้เป็นที่นิยมของผู้สูงอายุ และคนหนุ่มสาวเป็นคู่ๆ เพราะไม่ต้องเบียดเสียดหรือแย่งกันเที่ยวในช่วงปิดเทอม ซึ่งช่วงนั้นคนจะเยอะมากๆ ) พอพร้อมหน้าพร้อมตา เจ้าหน้าที่ก็มาแนะนำกิจกรรมต่างๆที่ทางรีสอร์ตมีให้ เช่น การเดินป่าแบบง่ายๆและสนุกสนานของเด็ก และเดินป่าของผู้ใหญ่ หรือชอบตกปลาก็มีให้เลือกซึ่งรวมค่าไลน์เซ่นไว้ให้แล้ว มีการตกปลาในน้ำเข็งด้วยนะ อันนี้น่าสนใจ แต่คงต้องมาใหม่ในหน้าหนาวล่ะเนี่ย หรืออยากพายเรือเล่นก็มีเรือให้เช่าพายเล่นในทะเล ชอบกิจกรรมแบบไหนก็มาลงชื่อทิ้งไว้ได้ ราคาก็ไม่แพงอย่างที่คิด พอจายได้อ่ะนะ ฉันเริ่มชอบทัวร์ครั้งนี้ของเราแล้วสิ ชอบที่ว่านอกจากจะได้เห็นบ้านเมืองของเค้าแล้ว ยังได้ทำกิจกรรมอื่นๆตามแบบฉบับของคนที่นี่อีกด้วย ตกลงว่าพรุ่งนี้เราจะไม่ขับรถเที่ยว แต่เราจะไปเดินป่ากัน โดยเลือกเกมเดินป่าแบบเด็กๆในตอนเช้าให้มิเชลเลอร์ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง ราคาแบบครอบครัวก็ 15 ยูโรเอง และเลือกเดินป่าสำหรับผู้ใหญ่ในช่วงบ่าย รายการนี้ไม่ต้องจ่ายเงินเพราะรวม อยู่ในค่าทัวร์เรียบร้อยแล้ว เอ๊ะ แล้วจะเอามิเชลเลอร์ไปไว้ไหน อิอิ ก็ไว้หลังพ่อเค้าไง เราเอาเป้แบกเค้าไปด้วย ตอนนี้เค้าโตขึ้นมาหน่อยนึงแล้ว ถ้าเค้าเดินได้ก็ให้เดินไป แต่ถ้าไม่ไหวก็จับใส่หลังให้บาร์ทแบกไป อิอิ

เสร็จจากประชุมเราก็กลับมาตั้งหลักกันที่บ้านก่อนเพื่อหาที่เที่ยวในช่วงบ่าย ให้บาร์ทดูแผนที่ไปพลางๆ ส่วนฉันก็จัดแจงเตรียมอาหารกลางวันรวมถึงเสบียงไว้ระหว่างทาง เรื่องนี้สำคัญ เพราะเรามีลูกเล็กไปด้วยก็ต้องเตรียมให้พร้อม จะให้เค้ามารอกินเมื่อไหร่แบบเรานั้นไม่ได้แน่ ขืนเป็นแบบนั้นเค้าก็จะงอแง พาลเที่ยวไม่สนุกกันพอดี

หลังจากเตรียมเสบียงและกินกลางวันเสร็จแล้ว บาร์ทก็สรุปว่าวันนี้เราจะไปทัวร์ชมโบสถ์กัน แล้วก็บอกว่า เนี่ย เอาใจเธอเลยนะ เห็นว่าชอบดูโบสถ์นักนี่ แหม ไม่ใช่อย่างนั้น ก็โบสถ์ที่นี่มันไม่เหมือนกับในยุโรปทั่วไปนี่น่า โบสถ์ที่นี่ถ้าเป็นโบสถ์เก่า ส่วนใหญ่จะสร้างด้วยไม้ ขนาดก็ไม่ใหญ่โตหรูเริ่ดอลังการงานสร้าง ดูเรียบง่ายแต่ก็สวยมีสเน่ห์ไปอีกแบบ อย่างนี้จะไม่ดูได้ไงล่ะ แล้วบาร์ทก็บอกอีกว่า เอาเหอะ ไม่ได้ให้ไปดูโบสถ์อย่างเดียวหรอก แต่จะเลือกเส้น ทางกินลมชมวิวให้ด้วย เออ แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย ก็สรุปว่าบ่ายนี้เราจะไปชมโบสถ์ไม้เก่าแก่ที่เมืองเกอูรู ( Keuruu ) แล้วต่อด้วยโบสถ์ไม้เก่าแก่อีกแห่งซึ่งมีชื่อว่า “Petäjävesi Old Church” ที่ต้องไปเนี่ยเพราะว่ามียี่ห้อขององค์การยูเนสโกได้แปะไว้แล้วตั้งแต่ปี1994 โน่นแนะ จากนั้นไปต่อกันที่เมือง Jyväkylä ชื่อเมืองนี่ต้องสารภาพว่า อ่านไม่ออกจริงๆ แต่จะไปเพราะจากคำบรรยายในหนังสือ เค้าบอกว่าเมืองนี้มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสี่ของฟินแลนด์ แล้วก็เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจอีกด้วยสำหรับฉันแล้วแปลความหมายว่า มันต้องมีที่ช๊อปปิ้งหรูแน่ๆ อย่างนี้ต้องไปดูซะหน่อย เพราะตั้งแต่มานี่ฉันยังไม่ได้เจอบรรยากาศแบบเมืองใหญ่ๆเลยอ่ะ เจอแต่ถนนหนทางที่โล่งๆกับเหล่าต้นสนข้างทาง วันนี้ต้องขอไปเจอผู้เจอคนซักหน่อย พร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันโลด

ออกทัวร์ชมโบสถ์แรกที่เมืองเกอูรู Keuruu

จะว่าไประยะทางจากเมืองหยัมสาที่เราพักไปเมืองเกอูรูประมาณ 60 กิโลเมตรเท่านั้น เอง ขับแป๊บนึงก็ถึงแล้ว แต่เรื่องอะไรเราจะไปทางตรง พวกเราชอบแบบลดเลี้ยวเคียวคด แวะโน่นแวะนี่ไปเรื่อย ( อันนี้เฉพาะเรื่องเที่ยวนะ เรื่องอื่นไม่เกี่ยว หุหุ) แล้วจากแผนที่จะมีเส้นทางอีกช่วงที่น่าจะสวยเหมาะแก่การขับรถเที่ยวเป็นที่สุด เพราะสองข้างทางจะเต็มไปด้วยทะเล สาบขนาดเล็กมั่งใหญ่มั่งสลับกันไป อย่างนี้ก็ต้องเลี้ยวไปดูกันซะหน่อยละนะ อันนี้ก็ต้องขออธิบายเกี่ยวกับการดูแผนที่นิดนึงนะคะ เผื่อใครสนใจจะขับรถเที่ยวเอง จะได้สังเกตุได้ แต่ใครที่รู้แล้วก็ข้ามไปเลยละกัน สำหรับสีที่ใช้ในแผนที่ ถ้าเป็นเส้นสีแดงก็มักจะเป็นถนนใหญ่หรือถนนไฮย์เวย์ ถ้าเป็นสีเหลืองก็เป็นเส้นเล็กรถสวนกันหรืออาจเป็นมอย์เตอร์เวย์ก็ได้ ส่วนสีขาว จะเป็นถนนเล็กๆเข้าตามหมู่บ้านย่อยๆ ทีนี้ถ้าถนนเส้นไหนสวยๆ เค้าก็จะใช้สีเขียวมาแซมเอา ไว้ด้วย อันนี้ก็เป็นลักษณะแผนที่ท่องเที่ยวของชาวยุโรปเค้า ส่วนของไทยนั้นไม่รู้ว่าเป็นแบบนี้มั๊ย เพราะไม่เคยใช้ จะไปไหนทีก็ใช้ปากนี่แหละ ถามทางก่อนไป ง่ายดีแต่มีหลงได้เหมือนกัน อีกอย่าง ยังไม่เคยขับรถเที่ยวเป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้ซักที แบบว่าตอนอยู่เมืองไทยไม่มีเวลากให้เที่ยวได้นานๆแบบนี้ ขืนหยุดนานๆขนาดนี้คงโดนเค้าไล่ออกไปนานแล้วละ

เมาท์เพลิน มาต่อกันเลยดีกว่า จากเส้นทางตรงๆก็เลยต้องมีการอ้อมกันนิดหน่อยโดย โดยมาใช้เส้นทางหมายเลข E63 ขับลงมาทางใต้เล็กน้อยประมาณ 18 กิโลเมตร จากนั้น ไปก็ ใฃ้เส้นทางหมายเลข 343 วกขึ้นไปข้างบน ถนนช่วงนี้ล่ะที่มีทิวทัศน์สวยงามตลอดสองข้างทางจะลัดเลาะไปตามทะเลสาบ จากนั้นก็จะใช้เส้นทางหมายเลข 58 เส้นนี้ก็เช่นกันจะผ่านทะเล สาบขนาดใหญ่อีกเช่นกัน

เราพบว่าไม่ผิดหวังกับแผนการขับรถที่วางไว้เลย เพราะธรรมชาติตลอดสองข้างทางที่ผ่านมานั้น สวยจริงๆ บางช่วงเป็นป่าสนสลับกับทะเลสาบเล็กบ้างใหญ่บ้างเป็นระยะ บางแห่งมีเกาะแก่งเล็กๆกระจายอยู่กลางทะเลสาบ ดูสวยงามไปอีกแบบ บางช่วงก็ผ่านชุมชนที่มีบ้านไม้สีสันสดใส ถนนบางช่วงก็ว่างเปล่ามีแต่รถของเราอยู่คันเดียวเองอ่ะ นานๆจะมีรถสวนหรือตามหลังมาซักคัน เรียกว่าถนนี้เราจอง อุ๊บอิ๊บเลย อิอิ
เราหยุดแวะถ่ายรูปกับเป็นระยะๆ แบบไม่รีบร้อนและ แบบว่าโลกนี้เป็นของเราสามคน ฮ่าๆ แถมอากาศวันนี้ก็เป็นใจ ท้องฟ้ามีเมฆเป็นกลุ่มๆ สวยมาก แล้วทริปนี้ฉันก็ได้รูปท้องฟ้ามาเป็นกระบุง ฟ้าที่ยุโรปนี่มันสวยจริงๆ คงเป็นเพราะมันมีกลุ่มเมฆนี่เองล่ะนะที่ช่วยเพิ่มความสวยให้กับท้องฟ้า

นี่เป็นการเที่ยวอีกครั้งที่การนั่งในรถนานๆไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อเลย ด้วยวิวสวยๆสองข้างทาง และกลุ่มเมฆสวยๆบนท้องฟ้า ทำให้ฉันเพลิดเพลินจำเริญใจ แต่อาจมีการสะดุดบ้าง ตรง ที่ต้องคอยบริการมิเชเลอร์เป็นระยะๆ หากเค้าเบื่อขึ้นมา เที่ยวกับลูกก็เป็นแบนี้แหละมีทั้งน่ารัก มีทั้งน่าโมโห ใหม่ๆรู้สึกขัดใจ แต่เดี๋ยวนี้ชินซะแล้ว แต่ก่อนคิดว่าถ้าเราต้องเที่ยวนานๆแบบนี้จะเอาไปฝากย่าให้ดูแล แต่พอถึงเวลาจริงๆ กลับทำไม่ได้ ความรู้สึกคืออยากให้เค้าไปด้วย อยากให้เค้าได้เห็นโลกกว้างตั้งแต่เด็ก แม้ว่าจะยังไม่ตื่นเต้นกับธรรมชาติเหมือนเรา แต่เค้าก็มีความตื่นเต้นอย่างอื่นแบบเด็กๆที่ทำให้เราต้องยิ้มและหัวเราะทุกที ที่ตื่นเต้นสุดๆก็ตรงที่เห็นสนามเด็กเล่นนี่ล่ะ พอเห็นปุ๊บก็จะ “มาม่า (ทำเสียงสูงแบบดีใจสุดๆ) สนามเด็กเล่น ขอเล่นหน่อยนะค้า” เป็นแบบนี้ทุกทีบางทีก็รู้สึกสงสารจนต้องจอดรถแวะให้เล่นก่อน แล้วถึงค่อยไปต่อ ยิ่งทริปนี้มีกวางข้างถนนให้เห็นเป็นระยะๆ เค้ายิ่งตื่นเต้น ร้องเรียกโหวกเหวกชวนให้เราสองคนช่วยกันดู แล้วอย่างนี้ฉันจะเอาเค้าไปทิ้งไว้กับย่าแล้วหนีไปเที่ยวกันสองคนได้อย่างที่เคยคิดไว้ได้ยังไง

กิจกรรมระหว่างนั่งรถในทริปนี้อีกอย่างของฉันก็คือ คอยจ้องป้ายเขตเมือง พอใกล้เข้าเขตเมืองแต่ละเมืองทีไร ฉันก็จะคอยเล็งจ้องป้ายเอาไว้พร้อมกันนั้นก็ต้องกะระยะให้ดีเพื่อกดชัตเตอร์ เพราะแต่ละเมืองเนี่ย เค้าก็จะมีจะมีสัญญลักษณ์ที่แตกต่างกันไป มีทั้งแบบเรียบๆ จนถึงแบบสง่างาม ฉันเห็นว่าแปลกดี ก็เลยจ้องแต่จะถ่ายรูป แล้วก็ไอ้เรื่องถ่ายรูปป้ายเมืองนี่ล่ะ ทำให้ฉันต้องเถียงกับคนขับบ่อยๆ ก็แหม ไอ้เราอยากจะได้ภาพสวยๆ แต่คนขับก็ดันไม่เป็นใจ ขับซะเร็วเชียว จะชะลอๆหน่อยก็ไม่ได้ พอเราว่า ก็บอกว่าเผื่อมีรถตามหลังมามันอันตราย แหม ให้มันได้งี้ดิ กลัวไม่เข้าเรื่อง ดูดิ๊ ทั้งถนนมีแค่รถเราคันเดียวเองง่ะ เออ ถ้ามันรถเยอะก็ว่าไปอย่าง เรียกว่าตลอดทั้งทริปก็จะมีเสียงขัดกันไปเรื่อยอย่างนี้ เถียงกันไปนมา แต่ในที่สุด เราก็มาถึงเมืองเกอูรูกันซะที

วิวสวยๆสองข้างทาง

ถนนนี้เป็นของเราสามคน








แวะหยุดถ่ายรูปเป็นระยะๆ ดูซิมีแต่เราเท่านั้น


ป้ายสัญญญักษณ์ประจำเมือง


อันว่าเมืองเกอูรู ( Keuruu ) นี้เป็นเมืองเล็กๆในเขตฟินแลนด์ตอนกลาง (แหม อ่านชื่อเมือง แล้วนึกถึงตอนเป็นเด็กหัดอ่าน กออากา กออูกู จังเลยนะ ฮ่าๆ) ห่างจากเมือง Jyväkylä ประมาณ 50 กิโลเมตร ( เฮ้อ ฉันพยายามจะอ่านชื่อเมืองนี้ให้ได้เหมือนกัน แต่อ่านยังไงก็ไม่ได้ซะที ใครที่อยู่ฟินแลนด์ รบกวนอ่านให้ฟังจะขอบคุณมากเลยค่ะ ) ตัวเมืองล้อมรอบไปด้วยทะ เลสาบน้อยใหญ่ เรียกว่าเหมาะสำหรับคนที่ชอบเที่ยวแบบธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง วันนี้เราขอบายไม่ได้มาพายเรือ แต่จะมาดูโบสถ์อ่ะนะ

โบสถ์เมืองเกอูรู ( Keuruu )




พอรถเข้าเขตเมืองก็เห็นโบสถ์ที่เราต้องการมาดูทันที ตั้งตระหง่านอยู่ริมถนนนั่นเอง ไม่ต้องเสียเวลาหา อันนี้เราชอบ แล้วก็ไม่ต้องวนหาที่จอดรถให้ยากด้วย มีที่จอดรถให้เสร็จสรรพ ลงจากรถได้ก็เก็บภาพก่อนทันที ก็แหม ฟ้าแจ่มแบบนี้ แถมมีก้อนเมฆเป็นหย่อมๆ มันสวยจนอดไม่ได้ที่จะต้องถ่ายรูปก่อนเข้าไปข้างใน ที่สำคัญไม่มีผู้คนพลุกพล่านหน้าจอ อันนี้เราชอบ ต่างกับตอนเที่ยวอิตาลี่อย่างสิ้นเชิง ที่ทั้งรถติด ทั้งคนเยอะ กว่าจะได้รูปแบบที่ไม่มีคนที่ไม่รู้จักมายืนหน้าสลอนไปด้วย ฮ่าๆ แต่ที่ฟินแลนด์นี้กลับตรงกันข้ามเลยเชียว
หลังจากถ่ายรูปเสร็จก็เข้าไปดูข้างในกัน มีค่าเข้าชมนิดหน่อย คนละ 1 ยูโรเท่านั้น แต่ถ้าไปกันหลายๆคน เค้าก็มีราคาแบบครอบครัวด้วย แค่ 2 ยูโรเอง สำหรับของเราจะจ่ายแบบไหนก็เหมือนกันมันก็ 2 ยูโรอยู่ดี แล้วก็มีเจ้าหน้าที่ประจำโบสถ์เพื่อนำชมและให้ข้อมูลอีกด้วย แต่หากอยากเดินดูเองก็ได้ ไม่มีปัญหา

โบสถ์นี้มีชื่อตามภาษาฟินนิชว่า Vaha kirkko ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็ The Old church of Keuruu ถือเป็นโบสถ์ไม้ในสไตล์ฟินแลนด์ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งนึงของเมืองนี้ สร้างขึ้นในระ หว่างปี 1756 - 1759 โดย Anti Hakola เป็นผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง ส่วนการตบแต่งภายในอยู่ในช่วง 1782 - 1785 จึงเสร็จสมบูรณ์ ภาพวาดต่างๆภายในเป็นฝีมือของ Johan Tién ตรงกลางที่เป็นแท่นพิธีนั้น มีภาพ The Last Judgement เป็นภาพที่ทำก๊อปปี้ขึ้นในปี 1824 ส่วนของจริงซึ่งวาดโดย Carl Gustav Sóderstrand นั้น ได้นำไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่ง ชาติตั้งแต่ปี 1902 ปัจจุบันโบสถ์นี้ไม่ได้ใช้งานแล้ว นอกจากมีรายการพิเศษเช่น การจัดแสดงคอนเสิร์ตในหน้าร้อนเป็นครั้งคราวเท่านั้น สำหรับใครที่อยากเห็นภายในโบสถ์แบบเต็มที่ ก็เข้าไปชมภาพภายในแบบพาโนรามากันได้ที่นี่เลยค่ะ http://www.avoinmuseo.fi/keuruunkirkot/panoraama.htm แต่เสียอย่างเดียวไม่มีภาษาอังกฤษ ให้สังเกตุคำว่าพาโนรามาเอาก็แล้วกันนะ แต่หากใครที่อยู่ใกล้เมืองนี้หรือไปเที่ยวแถวๆนั้น ก็แวะเข้าไปดูเถอะค่ะ รับรองไม่ผิดหวัง แม้จะไม่อลังการงานสร้างเหมือนกับโบสถ์ใหญ่ๆในยุโรปทั่วๆไป อีกทั้งศิลปินหรือผู้ สร้างก็ไม่ได้โด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก แต่ฉันว่ามันก็สวยงาม ดูไม่ซ้ำซากและจำเจดีนะ จากข้างในเราก็ออกมาเดินดูรอบๆด้านนอกกันบ้าง ด้านหลังโบสถ์ติดกับแม่น้ำ ดูร่มรื่น ส่วนด้านข้างของโบสถ์ เห็นมีซากเรือไม้เก่าขนาดใหญ่อยู่ด้วย ในอดีตใช้เป็นพาหนะไว้พาชาวบ้านมาโบสถ์นั่นเอง

ภายในโบสถ์












บางส่วนของโบสถ์ที่หักพังก็ยังเก็บไว้


เรือที่เคยใช้รับส่งชาวบ้านมาโบสถ์




ดูโบสถ์เสร็จ กำลังว่าจะเดินเข้าไปดูในเมืองซะหน่อย แต่ยังไม่ทันได้ไปไหนเลย ดันไปเจอกับดักซะก่อน อิอิ ก็สนามเด็กเล่นอยู่ฝั่งตรงกันข้ามนั่นเอง เลยต้องแวะให้มิเชลเลอร์เล่นก่อน ใกล้ๆกันนั้นก็มีโบสถ์อีกแห่งหนึง เป็นโบสถ์ประจำเมืองแห่งใหม่ เลยแว่บเข้าไปสำรวจซะหน่อย ด้านในเงียบเชียบดี ไม่มีใครเลย ภายในก็ตกแต่งแบบเรียบง่าย ไม่มีอะไรโดดเด่น ก็สวยดีนะ แต่สวยแบบใหม่ๆ ดูไม่ขลังเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เสียเที่ยวซะทีเดียว มีห้องน้ำด้วยเลยถือโอกาสใช้บริการซะเลย เอิ๊กๆ

โบสถ์ด้านตรงข้ามใกล้ๆกัน






เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ซักพัก รอมิเชลเลอร์เล่นจนพอใจ ก็ออกเดินทางกันต่อ ที่จริงยังมีโบสถ์ที่มีอายุเก่ากว่าโบสถ์นี้อีกนะ แต่กลัวว่าจะมีเวลาไม่พอ เลยไม่ได้แวะไป พอกลับมาบ้านแล้วก็มาดูรูปในอินเตอร์เนต ก็เสียดายเหมือนกันนะที่ไมได้ไป แต่ก็ไม่เป็นไรอ่ะนะ เพราะไปเที่ยวนี้ก็ได้ดูโบสถ์จนคุ้มแล้วล่ะ มาต่อที่โบสถ์ถัดไปดีกว่า

ขอเล่นหน่อยนะค้า




เดินทางกันต่อแบบเหงียบเหงา นานๆจึงจะเห็นรถผ่านไปซักคันแบบนี้แหละ


Petäjävesi Old Church
จากเมืองเกอูรู เราใช้เวลาไม่นานก็ไปถึงโบสถ์ที่มีชื่อเดียวกับ Petäjävesi Old Church ( สังเกตุว่าชื่อโบสถ์ส่วนใหญ่ที่ฟินแลนด์จะไม่มีชื่อเฉพาะ แต่จะเรียกไปตามเมืองหรือหมู่บ้านที่ตั้งอยู่นั่นเอง ) เราไม่ต้องเสียเวลาเข้าซอกซอยไปหา แต่โบสถ์นี่ตั้งอยู่ริมถนนใหญ่เช่นกัน มอง เห็นยอดโบสถ์มาแต่ไกล ที่จริงก่อนถึงตัวโบสถ์ มีป้ายที่จอดรถด้วย แต่เราไม่แน่ใจว่าเป็นที่จอดรถสำหรับผู้ที่จะมาชมโบสถ์หรือว่าสำหรับผู้ที่จะแวะพักรถ เพราะตรงนั้นมีทะเลสาบแล้วก็ที่นั่งพักด้วย แถมไกลจากตัวโบสถ์พอประมาณเชียวล่ะ เราก็เลยไม่จอดขับเลยไปจนถึงจุดที่โบสถ์ตั้งอยู่ แล้วก็แห้วกิน เพราะมันไม่มีทางเข้าอ่ะ จากถนนมันจะมีลำธารเล็กๆแคบๆคั่นอยู่ มีเพียงทางเดินที่เป็นพื้นดินแคบๆให้เดินเข้าไปเท่านั้น เราก็เลยต้องวนกลับไปจอดที่ที่เราผ่านมา แล้วก็ค่อยเดินมายังโบสถ์ แต่จะว่าไปก็ดีเหมือนกันนะ จากการเดินมานี้เอง ทำให้เราได้ถ่ายภาพโบสถ์แบบเต็มๆ แบบมีลำธารด้านข้างเป็นแบ๊คกราวด์ด้วย เหมือนกับภาพที่เค้าถ่ายไว้โปรโมตเลย อิอิ อันนี้เราชอบ

โบสถ์ Petäjävesi นี้เป็นโบสถ์ที่สร้างด้วยไม้เหมือนกันกับโบสถ์เก่าทั่วไปในฟินแลนด์ ที่จริงมันก็เหมาะกับประเทศนี้มากๆเลยล่ะนะ เพราะเค้ามีป่าไม้อุดมสมบูรณ์เหลือเกิน ก็ควรจะใช้ประ โยชน์จากมันให้เต็มที่ แถมยังเข้ากันกับสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยป่าไม้อีกด้วย ที่สำ คัญรูปทรงก็มีเอกลัษณ์ที่โดดเด่น เห็นแล้วบอกได้ว่านี่มันต้องเป็นโบสถ์ในแถบสแกนดิเนเวียของแท้แน่นอน ไม่ใช่แบบเดียวกับที่เห็นในยุโรปทั่วๆไป ด้วยเหตุนี้จึงสามารถพิชิตตำแหน่งมรดกโลกจากยูเนสโกมาครอบครองเอาไว้ได้ในปี 1994 นั้นแล

จากริมถนนต้องเดินเข้าไปพอประมาณ ระหว่างทางมีต้นไม้ร่มรื่น ตัวโบสถ์ตั้งอยู่ริมลำธารที่ไหลไปสู่ทะเล สาบ Päijänne มีต้นไม้รอบๆ ดูร่มรื่น ตัวโบสถ์นั้นจะแบ่งเป็นสองส่วนด้วย กัน คือส่วนที่เป็นหอระฆัง และต่อด้วยส่วนที่เป็นตัวโบสถ์ลักษณะคล้ายกระท่อมขนาดใหญ่ ตามประวัติบอกว่า เป็นโบสถ์ในลัทธิลูเธอร์รัน ( Lutheran ) สร้างขึ้นในระหว่างปี 1763 -1765 โดยเป็นผลงานของ Jaakko Kelmetinpoika Leppänen เป็นช่างไม้ที่ชื่อเสียงจากเมืองLaukaa สำหรับส่วนที่เป็นหอระฆังนั้นสร้างในปี 1821 และควบคุมการก่อสร้างโดย Erkki Jaakonpoika Leppänen ซึ่งเป็นหลานของ Jaakko ผู้สร้างตัวโบสถ์นั่นเอง













สำหรับการตกแต่งภายในโบสถ์นั้นดูเรียบง่าย แต่ดูมีเอกลักษณ์ในตัว ความสวยงามนั้น มาจากการใช้สีแดงวาดลวดลายตามรอยต่อระหว่างไม้เข้าด้วยกัน ส่วนของประดับภายในโบสถ์ก็ไม่มีมากมาย มีเพียงแท่นพิธีอยู่ด้านหน้า มีภาพเขียน “Last Supper” ซึ่งเป็นฝีมือของCarl Fredrik Blom’s ที่เขียนขึ้นในปี 1843 ก่อนเข้าไปชมด้านในต้องซื้อบัตรด้วย ราคาสำหรับครอบครัวก็ 6 ยูโร ส่วนที่โดดเด่นอีกแห่งหนึ่งภายในโบสถ์นี้ ตรงส่วนที่เป็นฐานของธรรมาสน์ จะมีไม้แกะ สลักเป็นรูปหน้าของ St.Christopher มีสีสันฉุดฉาดค้ำยันตรงส่วนที่เป็นธรรมาส์เอาไว้ ตรงนี้เค้าเรียกว่า The paint of pulpit ซึ่งเป็นฝีมือของนาย Tammelin ช่างไม้จากเมืองหยัมสาในปี 1779 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ www.petajavesi.fi/kirkko/en/index.shtml

ด้านในโบสถ์








ทัวร์เมือง Jyväslylä


จบการทัวร์โบสถ์แล้ว เราก็มุ่งหน้าต่อไปยังเมือง Jyväslylä เมืองที่อ่านไม่ออกนี่ล่ะ เป็นเมืองที่อยู่ในเขตฟินแลนด์ตอนกลาง ตั้งอยู่ด้านเหนือของทะเลสาบ Päijänne ทำให้เมืองนี้มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม นอกจากนั้นเมืองนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่เด่นและมีชื่อเสียงในด้านการศึกษา เพราะที่นี่เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ รวมถึงสถาบันการศึกษาต่างๆอีกมากมาย และนอกจากนั้นก็ยังมีชื่อเสียงในเรื่องอาคารและสถาปัตยกรรมต่างๆที่ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดัง Alvar Aalto ซึ่งถือว่ามีชื่อเสียงในแถบสแกนดิเนียเลยทีเดียว นอกจากนั้นเมืองนี้ยังเป็นสถานที่จัดรายการแข่งรถแรลลี่ชื่อดังอย่าง The Neste Oil Rally Finland ซึ่งเป็นหนึ่งในรายการแข่ง ขันแรลลี่ระดับโลกของ World Rally Championship อีกด้วย ทั้งหมดน่ะเป็นสรรพคุณของเมืองนี้เค้าล่ะ จริงๆแล้วเค้ามีเยอะกว่านี้อีก แต่ว่าเราจะมาเที่ยว มิได้มาเรียนประวัติศาสตร์ เอาแค่คร่าวๆแค่นี้ก็คงจะพออ่ะนะ เอาเป็นว่า พอเริ่มเข้าเขตเมือง ก็เริ่มมองเห็นทะเลสาบมาแต่ไกล มีเรือใบลอยอยู่เป็นระยะๆ บางแห่งก็มีสะพานข้ามระ หว่างเกาะแก่งเข้าด้วยกัน ดูสวยดี ก็ได้แต่ถ่ายรูปแชะๆอยู่ในรถ เสียดายไม่มีที่หยุดรถเหมาะๆให้ถ่ายรูป ได้มาแต่แบบขาดๆเกินๆซะงั้น แต่มิเป็นไรเพราะจุดหมายของเราคือการมาดูเมือง ดูผู้คนและดูที่ชอปปิ้งต่างหากเล่า ก็เลยปล่อยๆไป

หลังจากหาที่จอดรถได้ เราก็เริ่มออกสำรวจเมืองกัน เดินมายังไม่ทันไรฉันก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันทีที่ได้เห็นสาวไทยที่เมืองนี้ ที่ตื่นเต้นเนี่ย เพราะว่าตั้งแต่มายังไม่เห็นคนเอเชียเลยซักคน พอได้เห็นแล้วแถมยังเป็นคนไทยอีกก็เลยอดดีใจไม่ได้ เธอบอกว่ามาอยู่ที่นี่ได้ปีกว่าๆ มีคนไทยอยู่พอสมควร ชาวต่างชาติก็เยอะเพราะเป็นเมืองมหาวิทยาลัยด้วย ก็คุยกันพอประมาณแล้วก็ต้องบอกลา เพราะคนข้างๆเริ่มจะหงอยเพราะเราเมาท์กันแต่ภาษาไทย อิอิ แล้วก็เดินต่อบรรยากาศเมืองทั่วๆไปนั้นเป็นแบบลูกผสม รอบๆด้านนอกเป็นอาคารไม้แบบเก่ามีจั่วสลักเสลาลวดลายสวยงาม (ดูเผินๆเหมือนบ้านทรงไทยของเรา) ส่วนด้านในที่เป็นศูนย์การค้านั้นเป็นอาคารแบบสมัยใหม่เหมือนๆเมืองใหญ่ทั่วไป พอเดินถึงส่วนที่เป็นย่านการค้า ฉันก็ขอแยก ตัวเป็นศิลปินเดี่ยวเดินเที่ยวคนเดียว ด้วยว่าเห็นห้างสรรพสินค้าใหญ่โตอยู่ตรงหน้า ต้องขอเข้าไปสำรวจซะหน่อย เข้าไปแล้วก็ไม่ผิดหวัง บรรยากาศห่างกันลิบลับกับห้างที่เมืองดัชท์ ที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนๆกับห้างเซ็นทรัลบ้านเรา น่าเดินมาก ฉันจึงอดตื่นเต้นไม่ได้ โดยเฉพาะกับส่วนที่เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตนี่ ของก็เยอะ แล้วก็มีส่วนที่คล้ายๆตลาดสดขายอาหารจำพวกเนื้อ หมู ไก่ อาหารทะเลสดๆก็มีให้เลือกซื้อ แถมมีอาหารสำเร็จรูปที่ปรุงเสร็จร้อนๆให้ซื้อติดมือกลับ ไปกินที่บ้านได้ด้วย โอย ชอบจริงๆ แน่นอนฉันได้ปลาทะเลติดมือออกมาด้วย ซื้อแบบไม่ต้องมีใครมาขัดใจ อิอิ
เริ่มเข้าเมืองแล้ว


ใช้จักรยานเหมือนกันนะ


ขอแวะดูโบสถ์หน่อยนะ



ดูไปเรื่อยๆก่อนกลับที่พัก






ดื่มน้ำชามั๊ยคะ


หลังจากได้ของกินแล้วฉันก็สบายใจ มองดูนาฬิกาเวลาบ่ายสามโมงครึ่งกว่าๆแล้ว กลับที่พักดีกว่า ขากลับนี้เราใช้เส้นทางตรงไม่ลดเลี้ยวไปไหนแล้ว ความจริงคนขับรถก็มีเส้นทางใหม่มาเสนอให้อีก แต่ฉันไม่สนซะแล้ว เพราะห่วงลูกมากกว่า กลัวว่าจะเหนื่อยเกินไป ให้เค้ากลับไปมีเวลาเล่นที่บ้านมั่งจะดีกว่า สรุปว่าวันนี้เรากลับถึงบ้านกันแต่วันแบบสบายๆ ลูกมีเวลาได้เล่นบ้าง วันนี้เรากินข้าวกับปลาทอดที่ฉันได้มาจากในเมืองนั่นเอง

ของีบซะหน่อยนะคะ


ทะเลสาบด้านหน้าก่อนถึงที่พัก ใกล้ถึงบ้าน ตื่นได้แล้วค่ะ




อาหารวันนี้ของเรา ง่ายๆเป็นข้าวกับปลาซาบะและปลาแซลมอล


อิ่มแล้วก็นั่งเล่นนอนเล่น เก็บแรงไว้เดินเที่ยวกันต่อไป ทูบีคอนทินิวค่ะ