13 May 2006

London ตอนที่ 2

ทัวร์วันแรกยังไม่จบง่ายๆ หลังจากหาของใส่ท้องกันจนอิ่มแปร้แล้ว เราก็เริ่มออกเดินกันต่อในภาคบ่าย ก็เดินดูย่านไช่น่าทาวน์ไปเรื่อยเปื่อย จริงๆก็ดูลาดเลาไปด้วย ว่าร้านไหนอีกนะทีน่ากิน เผื่อจะมากินมื้ออื่นอีกน่ะ หุหุ ไม่พ้นเรื่องกิน อ้าว ก็มันสำคัญนะ ถ้ากินไม่ได้หรือไม่ได้กินแล้วจะมีแรงเดินเที่ยวเหรอ


ขอถ่ายรูปกับพี่หมีหน่อยนะ


ตารางการเดินรถ เอ๊ยไม่ใช่ ตรางการเดินสำหรับภาคบ่ายนี้คือ เราจะไปดูบ้านเลขที่ 10 ถนนดาวน์นิ่ง บ้านพักนายกนั่นล่ะคะ แล้วก็ต่อด้วย Big Ben แล้วก็ชิงช้าสวรรค์ก็ London Eye นั่นล่ะ ฮ่าๆๆๆ นี้ก็คร่าวๆ ส่วนถ้ายังมีเวลาเหลืออีก ก็จะไปเดินกันต่อค่ะ ก็ไม่มีลูกต้องให้ห่วงแล้วนี่ ไม่ดึกไม่กลับโรงแรมหรอก หุหุ


ข้ามถนนระวังหน่อยจ้ะ คงสำหรับชาวยุโรปโดยเฉพาะมั้ง


เอาล่ะค่ะมาเดินกันต่อไป มาทริปกับเราสองคนเนี่ย ต้องอดทนหน่อยนะคะ คือเราจะเน้นเดินเป็นหลักค่ะ นอกจากว่ามันจะสาหัสเกินไป เราถึงจะใช้พาหนะกัน จากย่านโซโห เราก้เดินมาโผล่ที่ Trafalgar Square กันอีกครั้ง แล้วก็เดินมายังถนน Whitehall Parliament St.(ถ้าใครไม่อยากเดินก็นั่งรถใต้ดินสาย Westminster มาก็ได้ค่ะ) เดินมาถึงช่วงกลางๆ ก่อนถึงบ้านพักนายก จะเจอกับ Horse Guards อาคารที่ทำการของทหารที่ผลัดเปลี่ยนเวรยามที่พระราชวังบักกิ้งแฮม

ด้านหน้าประตูก็จะมีทหารขี่ม้าเฝ้าอยู่สองนาย คนก็มุงถ่ายรูปกับม้ากันใหญ่ น่าเห็นใจเค้าจัง ต้องคอยบังคับให้ม้ามันอยู่นิ่งๆ รวมทั้งตัวทหารด้วย ก็ต้องนิ่งๆ จะหันซ้ายหันขวาก็ไม่ได้ เห็นนักท่องเที่ยวบางคนแกล้งล้อเค้าด้วย แต่เค้าก็ยังเฉยทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว เราก็ไม่พลาดค่ะ ขอไปยืนเกีกรูปด้วยคน แต่พอเดินไปอีด้านนึง หุหุ พี่ทหารแกจะหลับให้ได้เลยค่ะ แกคงจะง่วงเต็มทน แต่ด้วยหน้าที่ก็ต้องต่อสู้กับความง่วงสุดฤทธิ์ ไม่ได้ถ่ายรูปเค้ามาหรอก กลัวเค้าอายน่ะ


Horse Guards



กลัวม้าเตะจัง



กลางถนนหน้า Horse Guards ด้านหลังจะเห็นอนุสาวรีย์ท่านายพลที่ Trafalgar Square อยู่ลิบๆ


ถัดจากนี้ไปก็จะถึงบ้านพักนายกแล้วล่ะ ดูได้แค่นอกรั้วนี่แหละ เข้าใกล้ไม่ได้


บ้านพักนายก Downing St.10


จากที่นีมองไปเราก็จะเห็นหอนาฬิกา Big Ben และ House of Parliament อาคารรัฐสภาแล้วค่ะ

House of Parliament อาคารรัฐสภา ตั้งอยู่ตรงฝั่งแม่น้ำเทมส์ โดยมีหอระฆังบิ๊กเบน อยู่ด้านขวา เดิมคือพระราชวังเวสมิน สเตอร์ Palace of Westminster เป็นที่พักอาศัยของกษัตริย์ Hendrick VIII เป็นอาคารทีสร้างในสไตล์โกธิค ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั้นเกิดไฟไม้ทำให้อาคารส่วนใหญ่เสียหาย และได้รับการซ่อมแซมปรับปรุงใหม่ในปี 1950 มีห้องต่างๆทั้งหมดประมาณ 1000 ห้อง มีเฉลียงทางเดินยาวถึง 3 กิโลเมตร

ส่วนหอระฆัง Big Ben มีชื่อเป็นทางการคือ Great Bell of Westminster สร้างขึ้นหลังจากที่ได้มีการซ่อมแซมอาคารรัฐสภา นี้มีน้ำหนักประมาณ 13 ตัน หากมีแสงไฟปรากฎขึ้นด้านบนของหอระฆัง แสดงว่าระหว่างนั้นมีการประชุมรัฐสภา


Big Ben


ด้านข้างของ Big Ben จะเป็นสะพานข้ามแม่น้ำเทมส์ชื่อว่า St. Westminster Bridge ตรงนี้ก็จะมองเห็น British Airways London Eye อยู่ฝั่งตรงข้าม สร้างขึ้นโดยบริษัทสายการบินบริติชแอร์เวย์ เพื่อต้อนรับปี 2000 เรียกง่ายๆก็ชิงช้าสวรรค์แหละนะ เจ้า London Eye นี้ สูงถึง 135เมตรซึ่งใหญ่ที่สุดในโลกใช้เวลา 30 นาทีสำหรับการหมุนหนึ่งรอบ ค่าขึ้นสำหรับผู้ใหญ่ก็ 11 ปอนด์ เด็ก 5.5 ปอนด์ แต่ตอนนี้เราจัยังไม่ข้ามสะพานนี้ไปขึ้นชิงช้าค่ะ เราจะเดินต่อไปทางด้านข้างของอาคารรัฐสภากันก่อน


London Eye


จากตรงนี้เราเดินต่อไปยัง Westminster Abbey เป็นโบสถ์ของสำนักราชวัง ใช้เป็นที่จัดงานราชาภิเษกและพิธีศพ ด้านในจะเป็นที่บรรจุหลุมฝังศพของบรรดากษัตริย์และผู้มีชื่อเสียงกว่า 3000 คน เปิดให้เข้าชม วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 9.30-15.45 วันเสาร์ 9-13.45 ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ 6 ปอนด์ เด็ก ( 11-16ปี) คนละ 4 ปอนด์ ในวันนี้เราไม่ได้เข้าชม เพราะว่าเลยเวลาเปิดไปแล้ว เราเลยเดินต่อไปจนถึงสะพาน Lambeth Bridge แล้วก็ข้ามสะพานนี้มายังฝั่งตรงข้ามของอาคารรัฐสภา แล้วก็เดินเลียบแม่น้ำเทมส์กลับไปยัง London Eye เราจะไปขึ้นชิงช้าสวรรค์กันค่ะ พลาดได้ไงเรื่องแบบนี้ อิอิ

ระหว่างเดินเราก็เก็บภาพไปเรื่องเราก็เก็บภาพไปเรื่อยๆ แล้วก็ได้ภาพหลากหลายนี่ล่ะ ถ่ายมาเยอะมาก เลือกมาได้แค่นี้ละ ลงหมดไม่ได้ เด๋วโหลดกันนานเลย เดินมาถึงแล้ว อืม คนเยอะจริงๆอ่ะ ก็ไปเข้าแถวซื้อตั๋วก่อน แต่ยังไม่ขึ้นหรอก รอเวลาอีกนิดให้พระอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้วค่อยขึ้น อยากได้รูปสวยว่างั้นเหอะ แต่ดูๆแล้วถ้าจะกะลำบาก ก็คนรอต่อแถวขึ้นน่ะเยอะใช่ย่อยซะทีไหนล่ะ กว่าจะขึ้นได้ ก็มีการตรวจตราอาวุธกันก่อน


วิวสะพานใกล้กับ London Eye









โบสถ์ใกล้ๆกับ โบสถ์ Westminster Abbey



ด้านข้างของโบสถ์ Westminster Abbey










ระหว่างยืนเข้าแถวคอยก็สังเกตุว่ามีกลุ่มเด็กไทยชายหญิงประมาณ 4-5 คน อยู่หน้าเรา กะจะทักทายซักหน่อยตามประสาคนไทยด้วยกัน แต่ยั้งไว้ดีว่า เด็กผู้ชายน่ะดูท่าทางแล้วไม่มีอะไร แต่เด็กผู้หญิงนี่ท่าทางเอาเรื่อง หยิ่งๆ แบบพ่อแม่มีตัง เอาแต่ใจอะไรเงี๊ยะ พอถึงคิวที่จะได้ขึ้นเจ้าชิงช้านี้ แคปซูลนึงมันเข้าได้ประมาณ 20 คนหรือไงเนี่ย จำไม่ได้แล้ว ก็ดันได้อยู่แคปซูลเดียวกันซะอีก อืม ช่างมันเหอะ ทางใครทางมัน เราก็ไม่ได้สนใจเค้าอีก สนใจหามุมถ่ายรูปดีกว่า แต่เธอก็ยึดพื้นที่ซะหมดเลยค่ะ ถ่ายรูปเสร็จก็ไม่ออกมาให้คนอื่นเค้ามั่งเลย จนกว่าเธอจะเปลี่ยนที่นั่นแหละ คนอื่นถึงได้เข้าไปได้ ระหว่างนั้นเห็นเธอไปทางอื่น เราก็อยากได้รูปคู่กับบาร์ทมั่งอ่ะ เลยตัดสินใจขอให้น้องเด็กผู้ชายช่วยถ่ายรูปให้หน่อย
"ช่วยถ่ายรูปให้พี่หน่อยได้มั๊ยคะ"น้องเค้าก็ดี ถ่ายให้ แล้วก็ช่วยเลือกมุมให้ด้วย ทีนี้เค้าก็บอกว่า"พี่ครับตรงนี้มองไม่เห็นอะไรแล้ว มายืนตรงนี้ดีกว่า" แล้วเค้าก็หันไปบอกเด็กผู้หญิงว่า "ขอให้พี่เค้าถ่ายรูปตรงนี้หน่อยได้มั๊ย" เธอก็กระฟัดกระเฟียด มองหน้าเรา แล้วก็บอกว่า"ทำไมล่ะ ก็เรายืนอยู่ก่อนนะ" แล้วเธอก็ไม่สนใจ ก็ถ่ายรูปกับเพื่อนหญิงของเธอ เออ เด็กอะไรไม่มีน้ำใจ ไม่มีมารยาทเลย อยากจะว่านัก แต่ช่างเหอะ ไม่ใช่กงการอะไรของเรา เราก็เลยบอกน้องผู้ชายว่า ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณน้องมากค่ะ แล้วก็ถอยห่างออกมา น้องผู้ชายเค้าก็คงคิดล่ะว่า ทำไมเพื่อนเค้าเป็นแบบนี้นะ แล้วซักพักน้องผู้ชายก็ยังมีน้ำใจมาถามเราอีกว่า"พี่ครับจะให้ผมถ่ายรูปอีกมั๊ยครับ" พอดีเราก็ถ่ายรูปไปเยอะแล้ว อีกอย่างวิวมันก็เหมือนๆเดิมแล้วล่ะ ก็เลยบอกน้องเค้าไปว่า "ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมาก" คือสองจิตสองใจนะ น้องเค้ามีน้ำใจมาถามอีก ก็อยากจะให้น้องเค้าถ่ายให้ แต่ก็ไม่อยากจะมีปัญหากับเด็กผู้หญิงคนนั้น เลยปฎิเสธไปดีกว่า ยังไงก็ตามต้องขอบคุณน้องมากๆนะคะ



จากนี้ไปก็จะเป็นภาพระหว่างที่อยู่บนชิงช้าสวรรค์ค่ะ



















ลงจากชิงช้าสวรรค์แล้วเราก็เดินข้ามสะพาน Hungerford Bridges ข้ามไปโซโห ไปหาอะไรกินกันก่อนเพราะมันก็ทุ่มกว่าๆแล้ว มือนี้เรากินสแน็คบาร์กัน มันจุกตั้งแต่กลางวันยังไม่หายเลยอ่ะ ก็กลับไปดูย่านโซโหในช่วงกลางคืน ก็คึกคักเหมือนเดิม แสงสีลานตา ร้านค้าก็ยังเปิดด้วย แวะซื้อแอปเปิ้ลเอาไว้เป็นสเบียงระหว่างเดินเที่ยวพรุ่งนี้





จากนั้นเราก็เดินต่อไปยังย่าน Picccadily Circus ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโซโหเท่าไหร่ ตรงนี้จะมีป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ ในเวลากลางคืนจะดูสว่างไสว เหมือนกับในนิวยอร์คเลย เป็นยานศูนย์การค้า จะมีร้านมากมายให้ช๊อปปิ้ง ก็เดินดูแสงสีไปเรื่อย ช่วงที่เราไปนั้นก็กลางเดือนธันวา ก็เลยมีบรรยากาศคริสมาสเข้ามาด้วย เดินดูแสงสีกันพอสมควร เราก็กลับไปพักผ่อนเอาแรงไว้เดินกันในวันต่อไป



3 comments:

Anonymous said...

ลอนดอนอายอ่ะ รูปสวยเนอะ ขึ้นไปเวลาเดียวกะตอนที่ไปเลยพี่ ลองคลิกเข้าไปดูรูปว่าคล้ายๆกันเลย ทำใจหน่อยละกันเน้อ ไม่ได้อัพเดตรูปเลยในอัลบั้มอ่ะ สงสีก็ยังไม่ได้ปรับเยอะมาก ถ่ายมาก็เอาไปดัพท์ไว้นั่น

ไป Downing street มาด้วยเหยอค่ะ โนว์ได้รูปTony Blair มาด้วยล่ะ เอ่อแบบคือว่า รูปรถเค้าขับผ่านไปอย่างรวดเร็ว กระจกดำปิ๊ดมองไม่เห็นอะไรเลย อุบาศว์จริงอุตส่าห์ยืนรออยู่ตั้งนาน

พี่เจี๊ยบไปฟินแลนด์เมื่อไหร่ อาจได้หายตัวไปช่วงเดียวกัน เหอๆ ^^

เราหลงเข้ามาหน้านี่ได้งัยเนี่ย งงๆละ ทำไมไม่ใช่ bloggang อ่ะ

Anonymous said...

รูปจากลอนดอนสวยมากครับ ปีนี้สวน Keukenhof ไม่ค่อยสวยเหมือนที่เคยไปสี่ปีก่อน ต้นไม่ใหญ่ใบยังไม่ผลิเลยทั้งๆที่ก็สิ้นเดือนเมษาละ เลยทำให้สวนขาความเขียวขจี ตอนที่ไปคนเยอะมากๆ สวนมากมากจากประเทศอื่น

Anonymous said...

เห็นแล้วอยากไปลอนดอนซะแย้ว เจ๊ย่าจะเปิดบ้านรอม่ะเนี่ยเอิ้กๆๆ

ขำอ่ะตรงที่พี่เจี๊ยบบอกกลัวโดนม้าเตะเอิ้กๆๆ