10 February 2005

นึกไปเรื่อยเปื่อย


ก็ไม่ว่างหรอกนะ แต่ว่ามันก็จะแว่บๆเข้ามาอยู่เรื่อยๆ แล้วไม่รู้จะพูดกับใครดี จะโทรหาเพื่อนเหรอ มันก็ไม่ไหว ค่าโทรมันก็แพง เลยต้องก้มหน้าก้มตาเขียนมันขึ้นมานี่แหละ เพื่อนจะอ่านป่าวก็ไม่รู้อีก แต่ละคนกลัวคอมพิวเตอร์กันทั้งนั้นเลย แต่ก็ตื๊อเขียนไปนี่แหละ เค้าคงว่างมาอ่านกันซักครั้งหรอกน่า

ถึงตอนนี้เรามาใช้ชีวิตอยู่ที่เนธอร์แลนด์ได้เกือบห้าปีแล้ว เวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน มีเรื่องราวผ่านเข้ามาในชีวิตมากมาย ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เคยคิดเคยฝันแค่ว่า อยากมาเที่ยวเมืองนอกสักครั้งในชีวิต อยากมาดูโลกภายนอกว่าเป็นอย่างไร เราชอบดูรายการสารคดีท่องเที่ยวมากๆ ดูทุกครั้ง แม้จะเป็นที่เดิมๆก็ยังดู ก็ดูแล้วมันมีความสุขนี่นา ดูแล้วก็คิดว่าสักวันต้องไปเยือนให้ได้

ความฝันมาเป็นจริงเมื่อตอนมาเรียนต่อโทนี่เอง ภาคค่ำมีโปรแกรมไปทัศนศึกษาที่แอลเอ อเมริกา เค้าให้ภาคปกติปร่วมแจมได้ โอกาสมาถึงแล้ว มีหรือจะรีรอ เราไปกับเพื่อนในกลุ่มอีกห้าคน รวมเป็นหกคน นั่นคือครั้งแรกที่ได้มีโอกาสไปต่างประเทศ (แต่กว่าจะได้ไป ต้องผจญภัยในประเทศจนเหนื่อย ก็มีใครไม่รู้มาสวมรอยทำพาสปอร์ตตัดหน้าเราไปแล้ว แล้วจะเล่าให้ฟังทีหลัง) ตื่นเต้นมากเลย ยังจำได้ดีเมื่อเท้าแตะอเมริกาครั้งแรก ความรู้สึกมันบอกว่า เราไม่ได้ฝันไป เราได้มาถึงแล้วจริงๆ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราคิดว่า หากมีโอกาส จะกลับไปเยือนอีกครั้ง แถมด้วยความรู้สึกว่า อยากไปเที่ยวรอบโลก หากมีโอกาส

แล้วเรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร นั่นสิ ก็ยังงงๆอยู่เหมือนกัน เป็นเพราะเราคงเบื่ออะไรหลายๆอย่างที่เมืองไทย เบื่องาน เบื่อคน มีเรื่องมากมายในที่ทำงาน อีกอยากอยู่มาเกือบสิบปี คงถึงจุดอิ่มตัวแล้วด้วยมั้ง เลยเริ่มมองหางานใหม่ เพื่อนใหม่ๆ เริ่มหาความรู้มากขึ้น สิ่งนึงคือ ได้ไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติม เราคิดว่า เรียนอย่างเดียวคงไม่พอแน่ อย่ากระนั้นเลย ต้องหาฝรั่งจริงๆมาคุยด้วย ถึงจะได้ผล

และแล้วเราก็ได้เหยื่อมา 3 คน คุยไปคุยมา เหลือสองคน เราโชคดีนะ ที่ได้เจอฝรั่งใจดี ยอมคุยด้วยอย่างเพื่อนจริงๆ เท็ด ฝรั่งอเมริกัน ผู้มีเรื่องมากมายมาเล่าให้ฟัง และยังฝึกให้เราเขียนเรื่องต่างๆไปให้อ่าน เราเรียนรู้ภาษากับเค้าได้มากมาย จากที่ต้องนั่งร่างคร่าวๆก่อนพิมพิ์ จนกระทั่งพิมพ์ได้เลยโดยไม่ต้องมีสำเนา ต้องขอบคุณจริงๆ แม้กระทั่ง เราแต่งงานมาแล้ว เค้าก็ยังส่งซีดีเรียนภาษาดัชท์มาให้เราเลย ขอบคุณจริงๆ

หนุ่มที่สอง เป็นชาวฮอลแลนด์ คนที่กลายมาเป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุดในตอนนี้ หนุ่มนี้เราเคยไม่แยแสตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นรูปแล้วล่ะ (แหม ก็ต้องดูหน้าตานิดหน่อย จะได้กระชุ่มกระชวย มีกำลังใจฝึกภาษา เนอะ) แต่เพราะหาไปหามาจนลืมมั้ง ไม่ได้สนใจดูรูปอีก ก็เลยเลือก เอานี้ล่ะวะ คุยไปสักพัก เออ ดูสุภาพ เรียบร้อยดี เค้าส่งรูปมาให้ดู เอ้า ตาคนนี้เองเหรอ เออ ช่างมันเถอะวะ มันคุยดี เลยคุยต่อ (จนต้องตามมาคุยกะเค้าที่นี่อีก อิอิ) ลืมบอกไป หนุ่มนี้ชื่อบาร์ทจ้ะ

บาร์ทนี่มีเรื่องมากมายมาเล่าให้ฟัง ส่วนใหญ่จะเป็นเหตุการณ์ปัจจุบัน ยังเคยคิดเลยว่า เค้าน่าจะเป็นนักข่าวมากกว่านะ เค้าชอบท่องเที่ยว เราจึงมีโอกาสได้พบกันที่เมืองไทย เค้าดูทึ่มๆ เงียบๆ เรียบร้อย พูดน้อย ต่างจากฝรั่งทั่วไปที่เคยเห็น อาจเป็นเพราะอย่างนี้มั้ง ที่ทำให้เราคบกับเค้าได้อย่างสบายใจ

เค้ากลับไปแล้ว แต่เราก็ยังติดต่อกันอยู่เรื่อยๆ และแล้วเราก็มีโอกาสได้ไปเยี่ยมเค้าที่ฮอลแลนด์ ที่เรากล้า เพราะว่าเผอิญมีพี่ชายลูกของลุงเปิดร้านอาหารไทยอยู่ที่นี่ เราจึงกล้ามา ไม่งั้นก็คงไม่กล้ามาแน่ๆ หรือว่าดวงมันจะคู่กันก็ไม่รู้นะ ก็ได้มารู้จัก พ่อแม่พี่น้อง ของเค้า เออ ใช้ได้แฮะ จากนั้นอีกไม่นาน เราก็ตัดสินใจมาอยู่ที่นี่ เพื่อที่จะได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน อีกอย่าง อย่างที่บอกตอนนั้นมันกำลังเบื่อๆ เลยกะว่า มาอยู่ซักปีก่อน ถ้าอยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็กลับไปเริ่มหางานใหม่ เพราะยังไงก็จะลาออกอยู่แล้วนี่นะ ใครๆก็ค้าน ไม่กลัวเหรอ ตอนนั้นใจมันคิดว่า พี่อยู่ทั้งคน อีกอย่าง คิดว่าถ้าไม่ตัดสินใจทำอย่างที่ใจนึก เดี๋ยวจะมาเสียใจภายหลังว่า ทำไมไม่ทำนะ ถึงแม้ว่าผลมันจะออกมาเป็นอย่างไร ก็ยังดีที่ได้ทำ แม้บางครั้งรู้สึกเสียดายชีวิตที่เมืองไทย แต่ชีวิตคนเรา ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง ก็ต้องยอมรับว่า ทางเดินนี้เราได้เลือกมันแล้วนี่นา

มาอยู่นี่ช่วงแรกยังไม่ได้ทำอะไร โรงเรียนก็ยังไปไม่ได้ ต้องรอตามขั้นตอน แต่ก็ไม่เหงาเท่าไหร่ อาจเพราะยังตื่นเต้นกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ว่างก็ไปเที่ยวหาพี่มั่ง ไปช่วยเค้าในร้านมั่ง พี่พาเที่ยวมั่ง บาร์ทก็พาเที่ยวทั่วฮอลแลนด์ ก็เลยเพลิดเพลิน แต่พอเข้าเดือนที่สี่ที่ห้า มันเริ่มผ่านจุดตื่นเต้นมาแล้ว โรงเรียนก็ยังไม่เปิด ตอนนี้ล่ะ ที่เริ่มคิดถึงบ้าน คิดถึงงานที่เคยทำ เลยพาลคิดไปถึงว่า เรามาทำอะไรที่นี่วะเนี่ย ก็หนักเหมือนกัน แต่พอโรงเรียนเปิดเทอม ต้องไปเรียนทุกวัน ก็หายบ้าไปได้เหมือนกันนะ พอได้ไปเรียนก็ได้เจอเพื่อนจากหลายๆชาติ แน่นอนรวมทั้งคนไทยด้วย มันก็เริ่มดีขึ้น ชีวิตมันมีอะไรทำ ไม่อยู่ว่างไปวันๆ แม้จะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เบื่อ ที่ไม่ชอบ แต่ก็อยู่มาได้เรื่อยๆ จนถึงวันนี้ก็เกือบห้าปีซะแล้ว


ไปเก็บของที่ทำงาน วันสุดท้ายแล้ว นึกแล้วเสียดายเหมือนกัน


ก่อนมาเนเธอร์แลนด์ ไปกินข้าวกับเพื่อนที่ฉะเชิงเทรา


ไปเที่ยวจันทบุรี

1 comment:

Anonymous said...

ถ้าเรารู้จักเจี๊ยบและบาร์ทก่อนแต่งนะ ก็จะเชียร์บาร์ทนะ อิๆ บาร์ทเรียบร้อยมากเลย ไม่มีบาร์ทก็คงไม่มีมชล.นะ โลกคงไม่แจ่มใสดิ๊

เขียนเรื่อยเปื่อย คิดเรื่อยเปื่อย แก้เครียดได้นะจ๊ะ
มพถ