15 November 2005

อิตาลี ตอนที่ 4 Venice

Day6 24/08/05


วันนี้ตื่นเช้าแปดโมงกว่าๆ อากาศดี กะว่าจะไปขึ้นเคเบิ้ลกัน หลังจากกินอาหารเช้ากันเสร็จ เราเลยไม่รีบร้อนเพราะอยู่ไม่ไกลจากที่พัก มชล มีเพื่อนมาเล่นด้วย เราเลยยังออกไม่ได้ สักพักพ่อเค้าพาไปซื้อของในแคมปิ้ง ต้องเดินผ่านสระว่ายน้ำ เท่านั้นแหละ มชลร้องจะไปเล่นน้ำ ไม่ยอมไปไหนเลย เราเลยต้องเลยตามเลย ไปว่ายน้ำกัน เพราะตั้งแต่มาถึง เค้าก็ยังไม่ได้หยุดพักไปเล่นแบบเด็กๆเท่าไหร่เลย วันนี้คนเยอะมากเพราะอากาศดี แดดก็แรงด้วย ที่สระน้ำมีคนนำเต้นแอโรบิคด้วย เปิดเพลงลั่นสระน้ำเลย เล่นน้ำอ่ะพอได้ แต่จะว่ายจริงจังคงไม่ได้ เพราะเด็กก็เยอะ โดดน้ำกันตูมตาม น้ำในสระเย็นจังเลย มชล ลงได้แป๊บนึงก็เริ่มสั่นแล้ว พอจะให้ขึ้นก็ไม่ยอม จนกระทั่งเค้าไม่ไหวแล้วจริงๆ เราก็เลยกลับที่พักกัน กลับมาก็เที่ยงกว่าแล้ว เอามาม่ามาต้มกินกัน กินเสร็จก็เริ่มขี้เกียจกันแล้ว เลยนอนเล่นกัน











เพื่อนใหม่ มชล ที่แคมปิ้ง


บ่ายสามเราออกจากที่พัก ไปเดินสำรวจหมู่บ้านกันดีกว่า จากแคมปิ้งที่เราอยู่นี้ ไม่ไกลจากหมู่บ้านเท่าไหร่นัก ตอนแรกกะว่าจะเดินไปกัน แต่พอออกจากที่พักมาได้สักพักนึง ก็คิดว่าไม่ไหวแล้ว เพราะว่าถนนบางช่วงมันไม่มีฟุตบาทให้เดิน ถึงรถไม่เยอะแต่ก็อันตรายเพราะถนนมันแคบ แล้ว มชล ก็ไม่ค่อยจะยอมเดินตาม อีกอย่างแดดก็ร้อนมากด้วย เลยให้บาร์ทกลับไปเอารถมารับเราสองคน สำหรับหมู่บ้านนี้ก็เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ไม่มีอะไรมาก มีซุปเปอร์มาร์เกต ร้านขนมปัง แล้วก็ร้านอาหาร แล้วก็ร้านขายของที่ระลึก มีโบสถ์ด้วย ว่าจะเข้าไปสำรวจแต่เค้าไม่เปิด ก็เลยได้แต่ชมรอบนอกแทน ก็ไม่อลังการอะไร ได้เวลาเราก็แวะซื้อของกลับมาไว้เป็นเสบียงต่อไป วันนี้ก็สบายๆ ระหว่างทำกับข้าว มชล ก็ไปเล่นกับเพื่อนชาวเยอรมัน วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันพักผ่อนของ มชล เค้าล่ะ เพราะว่าวันนี้ถือเป็นวันแรกก็ว่าได้ที่เค้าไม่ต้องนั่งรถนานๆ เค้าคงจะเบื่อมากอ่ะ เมื่อเช้าพอเราบอกว่าขึ้นรถๆ ก๊ากกกกก มชล ร้อง ไม่เอาๆไม่ขึ้นรถ เค้าคงเบื่อสุดๆแล้วล่ะ ก็เด็กนี่นะ เค้าก็อยากเล่นตามประสาเด็ก แต่เราก็อยากเที่ยวนี่นา อิอิ



สำรวจหมู่บ้านกัน


Day7 25/08/05

วันนี้เราตั้งใจจะไปเดินเล่นบนเขายอดเขา Monte Baldo ซึ่งสูง 1760เมตร ที่เมือง Malcesine ซึ่งอยู่ตอนบนของทะเลสาป คาร์ดา โดยเค้าจะมีกระเช้าขึ้นไป แต่ว่าอากาศวันนี้ไม่เป็นใจเอาซะเลย ท้องฟ้าไม่แจ่มใส ถ้าขึ้นไปคงมองไม่เห็นอะไร เลยตกลงใจไปเมืองเวนิสกัน (Venice)เวนิส เป็นเมืองที่สร้างขึ้นบนเกาะเล็กเกาะน้อยถึง 118 เกาะ มีสะพานเชื่อมเกาะแก่งและลองต่างๆเกือบ 400 แห่ง ระยะทางจากที่พักก็ประมาณ 120 กม เราตกลงใจใช้ทางด่วนเพื่อให้ไปถึงที่นั่นเร็ว จะได้มีเวลาเดินเที่ยวได้นานๆ เราอยากไปมานานแล้ว ได้แต่เห็นในทีวี อยากมานั่งเรือกอนโดล่ากับเค้ามั่ง แต่เห็นทีคราวนี้คงไม่สมหวัง เพราะมีลูกมาด้วย ไม่เป็นไร คราวหน้ายังมี เรามาถึงเวนิสเกือบเที่ยงแล้ว จากนั้นต้องจอดรถไว้แล้วจึงนั่งเรือเข้าไปในตัวเมือง เราซื้อตั๋วเรือแบบนั่งเรือได้ตลอดวัน ราคา 10.50 ยูโร วันนั้นแม้ท้องฟ้าไม่แจ่มใส แต่ก็ไม่ถึงกับขมุกขะมัวนัก ถือว่าโชคดีแล้วล่ะ วันนั้นมีนักท่องเที่ยวเยอะมาก เราคิดว่า ก้คงจะเยอะแบนี้เกือบตลอดปี ยกเว้นหนาหนาวคงจะบางตาลงมั่ง

สะพานมุ่งหน้าสู่เวนิส


จากนั้นก็ไปลงเรือกัน แค่เรือเริ่มเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ เราก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับเมืองนี้ซะแล้ว มันตื่นเต้น ได้มาเห็นด้วยตาแล้วจริงๆ เรือ
กอนโดล่า เห็นเรือกอนโดล่ามีคนนั่งอยู่ในเรือ อยากนั่งมั่งจังเลย แต่รู้ว่าแพง อีกอย่างมีลูกมาด้วยคิดว่าไมสะดวกเลยตกลงกันว่าไม่นั่งดีกว่า กลัวเสียเงินไปเปล่าๆ เอาไว้คราวหน้ามากันแค่สองคนค่อยนั่งแล้วกัน มือเราเริ่มกดกล้องถ่ายรูประวิง ถ่ายๆๆๆๆ มันเข้าไป กะว่าเอาไว้เลือกภาพที่ดีที่สุด นี่แค่นั่งเรือเพื่อไปยังเกาะ เรายังได้ไปแล้วไม่รู้กี่ภาพ เราไปลงเรือที่ท่า San Zaccaria ซึ่งเป็นจุดที่เป็นจุดที่ตั้งของจตุรัส San Marco ความรู้สึกที่เห็นคือ มันดูยิ่งใหญ่อลังการจังเลย กะว่าไปถึงจะไปหาอะไรกินกันก่อน แต่ว่าด้วยความที่มันตื่นเต้น ก็อดที่จะชื่นชมและถ่ายรูปก่อนไม่ได้ ทั้งๆที่หิวไส้กิ่วแล้ว พอถ่ายรูปได้หน่อยเราก็ตัดใจเดินหาที่กินกลางวันกัน

พอลงเรือได้ก็ถ่ายรูปนี้เป็นรูปแรกเลย







ลงจากเรือก็ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกก่อน

San Marco-Plein

ด้านหลังคือโบสถ์ San Marco ด้านข้างคือ Palazzo Ducale

สะพาน Ponte dei Sospiri เชื่อมระหว่างวังกับคุก อยู่เลยมาหน่อยจากรูปที่เห็นด้านบน

จะเห็นสะพานแบบนี้ทั่วไปเชื่อระหว่างตึกแต่ละตึก ตอนนี้กำลังเดินหาที่กินกลางวัน เดินเริ่มมั่วด้วยความหิว

บางซอกตึกแคบมาก ถึงขาดต้องเดินตัวลีบ


เราเดินจนเหนื่อย คิดว่าเข้าเขตที่อยู่อาศัย เพราะไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวแล้วก็ดีเหมือนกัน ไม่แน่นดี จนเรามาเจอร้าน snack bar ที่ไม่พลุกพล่าน มีคนนั่งกินไม่กี่โต๊ะ ท่าทางจะเป็นคนอยู่ที่นั่นซะมากกว่า เราเลยเลือกร้านนี้ล่ะ สั่งสปาเก็ตตี้ซีฟู๊ด รสชาติใช้ได้เลยล่ะ หรือว่าหิวก็ไม่รู้ บาร์ทกินพิซซ่า มชล กินกับเรา เสร็จแล้วไปเข้าห้องน้ำ อืม ลืมเล่าถึงห้องน้ำ บางแห่งยังเป็นแบบนั่งยองๆอยู่เลย ที่นี่ก็เหมือนกัน เป็นแบบนั่งยองๆ แต่มันก็แปลกๆนะ มันไม่คล้ายบ้านเราน่ะ มันเป็นกึ่งนั่งยองๆกับกึ่งนั่งน่ะ มันเตี้ย ลำบากเหมือนกัน มชล ไม่ค่อยจะยอมนั่งฉี่ ต้องบังคับนิดหน่อยถึงจะยอม หลังจากกินเสร็จ เราก็ออกเดินกันต่อ ก็ตังใจว่าจะเดินตามเส้นทางตามแผนที่ เพื่อจะได้ไม่วกไปวนมา แต่พอเอาเข้าจริงก็มีหลงบ้าง แต่ไม่เป็นไร ก็ได้เห็นส่วนอื่นๆ ซึ่งก็ไม่น่าเบื่อเลย

เราเดินวกกลับมายัง San Marco Plein อีกครั้งตรงจุดนี้เรียกว่าเป็นจุดศูนย์รวมของเมืองนี้ก็ว่าได้ มีทั้งร้านค้าของเก่า จูวิวลี่ งานศิลปะ ร้านขายของที่ระลึก สลับกับสแนกบาร์ สิ่งก่อสร้างที่น่าสนใจในจุดนี้ก็มี Palazzo Ducale เป็นที่พักของผู้ปกครองเมืองเวนิส สร้างในสมัยศตวรรษที่ 19 เป็นศิลปะแบบโกธิค ภายในตกแต่งด้วยศิลปะหลายยุคสมัย รวมถึงมีห้องทรมานนักโทษและทางออกไปยังสะพานที่เชื่อระหว่างวังกับคุก

ถัดมาจะเป็นโบสถ์ Basilica di San Margo ซึ่งเป็นโบสถ์ที่มีชื่อเสียงของเมืองเวนิส สร้างเพื่ออุทิศแก่นักบุญมาร์ค ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้รับความนับถือในเมืองเวนิส โดยเค้าเป็นผู้ที่ไปเผยแผ่ศาสนาที่อียิปต์และถูกประหารชีวิตที่นั่น ศพของเค้าถูกนำมาเก็บไว้ที่โบสถ์แห่งนี้ เราไม่ได้เข้าไปข้างในเพราะคนเยอะมาก จริงๆสามารถเดินขึ้นไปถึงด้านบนได้ด้วย แต่ก็ไม่สะดวกเพราะมี มชล ไปด้วย เสียดายมากๆ จากในหนังสือบอกว่าโบสถ์ห้าโมนี้ ตกแต่งด้วยศิลปะที่แตกต่างกัน ด้านหน้าประดับด้วยรูปปั้นของนักบุญมาร์ค และรูปปั้นจำลองม้าบรอนซสี่ตัว ซึ่งเล่าว่าขโมยมาจากกรุงคอนสแตนติโนเปิ้ล ของจริงเก็บไว้เก็บรักษาไว้ด้านใน ศพของนักบุญมาร์คก็เก็บรักษาไว้ในนี้ ภายในโบสถ์มีจุดที่น่าสนใจคือ เพดาน กำแพง และพื้นที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องโมเสคสีทอง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 4000 ตารางเมตร เป็นเรื่องราวการเผยแผ่ศาสนาของนักบุญมาร์ค และรื่องราวในคัมภีร์ มีแท่นบูชา Pala d,Oro ตกแต่งด้วยทองและอัญมณี ซึ่งจัดเป็นสมบัติที่ล้ำค่าของโบสถ์นี้

นอกจากโบสถ์แล้ว รอบจตุรัสมีอาคารที่สำคัญอีกสองแห่งคือ หอระฆัง Campanile ซึ่งสูงที่สุดในเวนิส นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปข้างบนเพื่อชมวิวได้ อีกที่นึงคือ หอนาฬิกา Torre dell'Orologio สร้างในปลายศตวรรษที่ 15 หน้าปัทม์เป็นสีน้ำเงิน



ด้าหลังจะเห็นสะพานเชื่อมวังกับคุก

ด้านหน้าส่วนบนของโบสถ์ San Marco

ร้านค้ารอบๆSan Marco Plein

อาคารรอบ San Marco plein

หอระฆัง Campanile

จากจุดนี้เราเดินไปเรื่อยๆ คือไม่เน้นว่าจะต้องดูอะไรแล้ว เพราะ มชล เริ่มเหนื่อยและมีงอแง บางทีก็จะให้อุ้มด้วย ก็ต้องหลอกล่อไปเรื่อย เอาไอติมมาล่อ ก็ได้ผลมั่งเหมือนกัน เดินไปเราก้ให้นึกทึ่งนะ ว่าสมัยก่อนเค้าสร้างสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้ยังไง รวมถึงตึกรามบ้านช่องต่างๆ แต่ะละส่วนเชื่อมต่อกันด้วยสะพาน แต่ละตึกก็ล้อมรอบได้ด้วยน้ำ เราเดินดูได้ทั้งวันไม่มีเบื่อเลย






โบสถ์นี้เพดานข้างบนคล้ายกับโบสถ์เซ็นต์ปีเตอร์ที่โรมเลย แต่เค้าห้ามถ่ายรูป



ร้านค้าแบรนด์เนม บางช่วงก็ยังมีการตากผ้าระหว่างตึกด้วยนะ ก็เอกลักษณ์อิตาลีล่ะ


บสนสะพานนี้มีแผงขายของที่ระลึกเต็มไปหมด

หลังจากเดินจนเหนื่อย เราก็หาที่กินข้าวก่อนกลับที่พัก หลังจากลงสะพานที่เห็นข้างบนนั้น เราก็เจอร้านนึง ที่ดูท่าทางไม่แพง จะกินอะไรล่ะ ก็สปาเก็ตตี้อีกแล้วล่ะ กินอย่างอื่นไม่เป็น อิอิ กลัวสั่งมากินไม่ได้ จะเสียตังป่าว แล้วก็สั่งสลัดทูน่ามาแก้เลี่ยน มชล กินสปาเก็ตตี้กับเรา ร้านนี้เป็นอาหารอิตาเลี่ยนก็จริง แต่เจ้าของน่าจะเป็นคนจีน เพราะคนเสรฟเป็นคนจีนหมดเลย แต่ช่างเถอะ ก็พอกินได้ แล้วก็ราคาไม่แพง กินเสร็จก็เตรียมขึ้นเรือกลับมาขึ้นรถกลับที่พักกัน ก้ถ่ายรูปกันจดหยดสุดท้าย ถ้าเป็นกล้องที่ต้องใช้ฟิล์มก็คงเสียค่าฟิล์มอ่วมเลยล่ะ










ยามเย็น คลองเริ่มสงบแล้ว









สะพาน Rialto บนสะพานเป็นย่านขายของที่ระลึก เดมเป็นสะพานไม้ สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 หลังจากพังลงก็สร้างใหม่เป็นสะพานหินทนแทน
จากนั้นเราก็ต้องอำลาเวนิสไปอย่างน่าเสียดาย เสียดายที่ได้แค่เดินชมผ่านๆเท่านั้น ไม่ได้เข้าไปเจาะลึกในแต่ละที่ เรือกอนโดล่าก็ไม่ได้นั่ง เอาไว้คราวหน้าจะกลับมาเยือนอีกครั้งนึงนะ ไม่เอา มชล ไปด้วย ไม่งั้นคงไม่ได้ดูอะไรเหมือนคราวนี้อีก แต่ถ้ามาคิดดู เค้าก็เก่งมากๆเลยนะ เดินกับเราได้ทั้งวัน แม้จะงอแงบ้างแต่ก็เรียกว่าผิดคาด เรากลับถึงบ้านสามทุ่มกว่าแล้ว แต่ก็ยังไม่รีบเอาลูกนอน ปล่อยให้เค้าเล่นอีกหน่อย เพราะมาถึงบ้าน ลงจากรถก็เรียกหาของเล่นเลย สงสารเลยให้เล่นก่อน ก็กว่าจะได้นอนก็เกือบ 5 ทุ่มแล้ว ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ให้นอนตื่นสายแทน

ขึ้นรถๆได้ซักพักก้สลบเหมือดเลย ดูขอบตาล่างก้รู้ว่าเค้าเหนื่อยจริงๆ

No comments: