วันนี้ตื่นสายสบายๆ เพราะเรากะจะหยุดพักกันซักวันหลังจากที่ตะลอนกันมา 2 วันติดกัน ให้ มชล ได้พักบ้าง ไปว่ายน้ำในสระ เล่นในสนามเด็กเล่น ส่วนเราก็นอนเล่นหน้าที่พัก คอยหลบแดดไปเรื่อยๆ อิอิ แต่ก็มีลมพัดเย็นสบายดี ก็พักผ่อนกันจริงๆ พรุ่งนี้เราจะไป ฟลอเรนซ์กันด้วยรถไฟ


Day14 1/09/05
วันนี้เราตื่นแต่เช้า หลังจากกินอาหาหารเช้าเสร็จก็ได้เวลาตอนแรกตั้งใจว่าจะไปรถไฟกัน แต่เปลี่ยนใจกระทันหัน ขับรถไปเองดีกว่า ออกจากบ้าน 9 โมงครึ่งแล้ว เราเลยบอกบาร์ทว่าไปทางด่วนกันดีกว่านะ แต่เค้าบอกว่าไปทางเล็กๆเหอะจะได้ชมวิวไปด้วย ก็เถียงกันอีก เพราะเราอยากไปให้ถึงเร็วๆ จะได้มีเวลาที่นั่นเยอะๆ สุดท้ายก็แพ้คนขับอ่ะ เซ็งๆๆ เพราะมีอยู่ช่วงนึงเป็นทางที่ต้องออ้อมขึ้นเขา แถมมาเจอรถบรรทุกเยอะอีก เลยขับเร็วไม่ได้ จะแซงก็แซงไม่ได้อีก เพราะทางมันแคบแล้วก็คดเคี้ยว แถมมีรถสวนมาตลอดเวลา อารมณ์เริ่มเสียแล้วล่ะ เพราะเราบอกแล้วมันก็ดื้อน่ะ สรุป กว่าจะคลานไปถึงก็เที่ยงกว่าแล้ว ตอนนี้อารมณ์ไม่ดีเอามากๆเลย ไม่อยากดูอะไรแล้วอ่ะ เราก็นิสัยเสียด้วยล่ะ ถ้าเริ่มอารมณ์เสียเนี่ยจะพาลไปหมดเลย แล้วนานด้วย กว่าจะมาถึงเที่ยงกว่าแล้ว มชล ก็หิว เลยต้องแวะกินก่อนไม่งั้นจะเดินกันได้ไง แดดก็ร้อนเปรี้ยงเชียว ตกลงเข้าแม๊คโดนัลละกัน เร็วดี อืมกินเสร็จก็บ่ายโมงกว่าแล้วถึงได้เริ่มเดินกันได้น่ะ วันนี้อากาศร้อนมากๆ นักท่องเที่ยวก็เยอะมากมายจริงๆ
ฟลอเรนซ์ เป็นเมืองหลวงของแคว้นทอสคานา ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำ Arno เมืองนี้อาจเรียกได้ว่ามีศิลปในยุค(หรือใช้คำว่าแนวก็ไม่รู้ อิอิ)เรเนซอง (renaissance)มากที่สุดในอิตาลี่ ไม่ว่าจะเป็น สิ่งก่อสร้าง อาคารหรืองานศิลปต่างๆ สถานที่ที่มีชื่อเสียงหรือเป้นที่รู้จักคือ โบถส์ Santa Maria del Fiore เริ่มก่อสร้างในปี ค.ศ.1296 โดยศิลปิน Brunelleschi ข้างๆโบถส์มีหอนาฬิกาสูงเด่น และ Baptisterium ซึ่งด้านหน้าจะมีประตูทองเหลืองที่มีชื่อเสียงมีชื่อว่า Gates of Paradise
เพราะฉะนั้น ที่แรกที่จะไปคือ Santa Maria del Fiore เมื่อเราไปถึง โอว ทำไมคนเยอะอย่างนี้ กะจะไปต่อแถวเข้าไปข้างใน แต่ไม่ไหว นานแล้วแถวยังไม่ขยับเลย เปลี่ยนใจ ยังไม่เข้าดีกว่า เดินไปที่อื่นก่อนแล้วก่อนกลับค่อยแวะมาแล้วกันแต่ขอแปะรูปไปทีเดียวเลยละกัน จะได้ไม่ขาดตอน
ตอนขากลับแวะเข้ามาดูในโบถส์ ถึงได้รู้ว่า ที่ช้าเพราะต้องตรวจอาวุธและความเรียบร้อยของการแต่กายด้วย มันถึงได้ช้ามากๆไง ผู้หญิง ถ้าใส่ขาสั้น เสื้อแขนกุด เจ้าหน้าที่ก็จะเอาผ้าพลาสติกมาให้คลุมทั้งตัวด้วย เออ แต่ลืมสังเกตุว่า ถ้าผู้ชายใส่ขาสั้นต้องคลุมด้วยป่าว อิอิ มาดูรูปกันเลยจ้ะ
Santa Maria del Fiore






Scenes on the Gates of Paradise (Lorenzo Ghiberti) :(รายละเอียดในภาพจากบนลงล่าง และ จากซ้ายไปขวา)
1. Adam and Eve 2. Cain and Abel
3. Noah 4. Abraham
5. Isaac with Esau and Jacob 6. Joseph
7. Moses 8. Joshua
9. David 10. Solomon and the Queen of Sheba.
ภายในของโบสถ์ Santa Maria del Fiore

ด้านหน้า

ด้านหลัง



ถ่ายรูปกันนะ


จากนั้นเราเริ่มออกเดินไปเรื่อยๆ ตามแผนที่ไป จะได้เดินไม่มั่วและวกวนจนทำให้อารมณ์เสีย เพราะวันนี้อากาศร้อนจังเลย คนก็เยอะ เฮ้อ เอาล่ะสิ มชล เริ่มปวดฉี่แล้ว สองตามองหาป้ายห้องน้ำสาธารณะ ไอ้ช่วงไม่ต้องการกลับพบห้องน้ำบ่อย แต่พอจะใช้บริการ ทำไมมันหายากจากจังเลย มชล ก็เริ่มกระซิกๆ บิดไปบิดมาแล้ว ทนอีกนิดลูก ทนหน่อย พลันสายตาก็ไปเจอเข้ากับป้ายบอกทาง รีบเดินกันไป อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้ว ประมาณสองเมตรได้มั้ง แต่ไม่ทันการซะแล้ว เธอทนไม่ไหวจริงๆ เต้นเร่าๆแล้วร้องบอกว่า
"มาม่า มันจะมาแล้ววววววว"
บาร์ทเลยจับแวะไปหลบข้างมุมตึก แล้วปล่อยตรงทางเดินเลยอ่ะ วันนี้เธอใส่กระโปรงเลยง่ายหน่อย เผอิญใกล้ๆกันตรงนั้น ดันมีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงวัยเลยกลางคนหน่อย อาจเป็นเจ้าหน้าที่ท่องเที่ยวมั้ง เพราะเห็นให้ข้อมูลหรือคุยกับนักท่องเที่ยวอยู่ แกก็ปราดมาชี้มือชี้ไม้ แล้วส่งภาษาอิตาเลี่ยนมาว่า
"โน่นๆ ห้องน้ำอยู่ตรงโน้น มาทำตรงนี้ได้ไง"(แปลไม่ออกหรอก รู้แต่คำว่าห้องน้ำๆ หุหุ แต่ก็แปลได้ประมาณนั้นล่ะ)
"ขอโทษทีเหอะ เห็นแล้วจ้ะ กำลังจะไป แต่ลูกฉันไปไม่ทันอ่ะ มันจะไหลแล้วนี่" (ตอบเป็นภาษาปะกิดไป)
"bla bla bla bla " หุหุ แล้วเธอก็ยังบ่นๆๆๆด้วยความไม่พอใจ ชี้มือชีไม้ให้เราไปห้องน้ำอีก เอ๊ะ จะไปทำไมเล่า ก็เสร็จแล้วอ่ะ เราก็ชักโมโหเหมือนกัน เลยส่งภาษาปะกิดไปอีก
"ก็ไม่ได้ตั้งใจนี่ อันนี้เด็กเล็กนะ แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจด้วย ขอโทษแล้วยังจะไม่ยอมอีกเหรอ ฮึ"
แล้วก็สะบัดก้นสามคนพ่อแม่ลูกเดินจากยัยป้านี่มา จริงๆ มชล เพิ่งจะเลิกใช้แพมเพิร์สเมื่อตอนสามขวบนี่เอง(ส่วนอึน่ะบอกได้ตั้งแต่สองขวบครึ่งแล้ว) ไปหัดที่เมืองไทย พอกลับมาเนเธอร์แลนด์ได้สามอาทิตย์ เราก็ออกเดินทางไกลกันเลย ก็ต้องคอยถามกันตลอดทาง แต่ตอนนี้สบายแล้ว เริ่มอั้นได้แล้ว อิอิ

พ้นจากยัยป้ามาได้ เราก็มาถึง Palazzo Vecchio หรือ Palazzo della Signoria ในอดีตคือศาลาว่าการของเมืองนี้ เป็นอาคารสไตล์โกธิค (gothic) ชื่อเดิมคือ Palazzo della Signoria ผูปกครองฟลอเรนซ์ในสมัยแรกเริ่ม และมีอีกหลายๆชื่อ เช่น Palazzo del Populo, Palazzo dei Priori and Palazzo Ducale ซึ่งเปลี่ยนไปตามยุคสมัยของผู้ปกครอง Arnolfo di Cambio คือผู้ริเริ่มก่อสร้างในปี 1299 และสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ.1314 (ซึ่งตัวผู้เริ่มก่อสร้างนั้น ได้เสียชีวิตก่อนที่จะเสร็จในปี1302 ปัจจุบันนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่สำหรับแสดงผลงานของ Donatello, Mantegna en Pontormo

รอบๆ The Palazzo Vecchio จะมีคอลเลคชั่นรูปปั้นที่มีชื่อเสียง ซึ่งรูปปั้นที่รู้จักกันดีคือ "David" ของศิลปิน "Michelangelo" ซึ่งตั้งอยู่หน้าทางเข้าพิพิธภัณฑ์ The Palazzo Vecchio อันนี้เป็นรูปปั้นที่ทำจำลองขึ้นมาจากของจริง ซึ่งตั้งอยู่ที่ Galleria dell'Accademia

นอกจากนั้นก็ยังมีรูปปั้น Fontana del Nettuno หรือที่รู้จักกันในนาม Biancone ตั้งอยู่กลางจตุรัส ด้านขวามือของพิพิธภัณฑ์ ทางด้านซ้ายก็จะมีระเบียงโล่งมีหลังคา ตรงนี้ก็จะมีรูปั้นมากมาย รูปอะไรมั่งอันนี้เราก็ไม่ได้ใจมากนัก



ถัดจาก The Palazzo Vecchio ก็จะเป็น Uffizi Gallery เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมผลงานด้านศิลปะซึ่งได้ชื่อว่าเก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึงในโลก
อาคาร




จากตรงนี้ เราเดินต่อไปเพื่อจะไปยังจุดที่น่าสนใจ คือ สะพาน Ponte Vecchio ซึ่งเป็นสะพานเก่าแก่สร้างข้ามแม่น้ำ Arno ตัวสะพานเป็นสไตล์ Romeinse บนสะพานนี้จะมีร้านขายเพชรขายทองอยู่ทั้งสองฝั่ง


บรรยากาศบนสะพาน





จากนั้นเราก็เดินต่อไปเรื่อยๆ ไปยังโบถส์ Santa Croce ถือได้ว่าเป็นโบถส์ในสไตล์โกธิค (gotische)ที่สวยที่สุดในอิตาลี่ และเป็นโบถส์นึงที่ใหญ่ที่สุดในฟลอเรนซ์ สร้างในปี ค.ศ.1294 โดยสถาปนิกชื่อ Arnolfo di Cambio


ถ่ายรูปมั๊ย


เกือบจะหมดแรงกันแล้วล่ะ อืมร้อนมากๆเลย เดินมาถึงพระราชวัง The Palazzo หรือ Pitti Pitti Palace เป็นอาคารสไตล์ Renaissance ตั้งอยู่ทางด้านไต้ของแม่น้ำ Arno ไม่ไกลจากสะพาน Ponte Vecchio เท่าไหร่ เจ้าของเดิมคือนักการธนาคาร Luca Pitti ในค.ศ. 1458 ภายหลังถูกขายให้กับตระกูล Medici ในปี 1549 โดยใช้เป็นที่พักของตระกูล
ปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในแกลลอรี่ที่แสดงผลงานศิลปที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนึง
The Palazzo Pitti


จากตรงนี้ เราก็ไม่ได้เข้าไปดูข้างในอีกเช่นเคย แล้วตอนนั้นก็ประมาณบ่ายสามแล้ว เลยเดินกลับไปยังโบถส์ Santa Maria del Fiore เพื่อจะเข้าไปข้างในโบถส์ ก็ได้เข้าไปดูสมใจ สี่โมงเย็นแล้วก็ตัดสินใจกลับกันดีกว่า เพราะเหนื่อยเหลือเกิน กะว่ากลับเร็วจะได้ไปพักเอาแรงที่บ้าน ที่ไหนได้ พอพ้นเมืองออกมารถติด ติดไป 2 ชั่วโมง เพิ่งคลานไปได้ 3-4 กิโลเองง่ะ ติดตลอดทางเลย สรุปวันนั้นเราถึงบ้านกันสองทุ่มน่ะ ไม่สนใจทำกินแล้ว ไปหากินในแคมป์นั่นล่ะ



เฮ้อ จบไปอีกตอนแล้ว เหลืออีกตอนนึงได้นะ จะรีบรวบรัดตัดตอนให้จบๆซะที
No comments:
Post a Comment