
วันนี้ตื่นแต่เช้าเช่นเคย เช้านี้อากาศดี แดดค่อนข้างแรง วันนี้เราจะไปสามเมืองด้วยกัน เลยต้องตื่นเช้าหน่อย ตามี่จั่วหัวเรื่องไว้นั่นแหละ เริ่มแรกกันที่เมือง Volterra เมืองนี้เป็นเมืองเก่าแก่ก่อนคริสตศักราช (เท่าไหร่ก็อย่าไปรู้มันเลยนะ อิอิ) ตั้งอยู่บนเนินเขา ระหว่างทางภูมิประเทศเป็นเนินเขาสลับซับซ้อนสูงต่ำกันไป บางช่วงก็เห็นเป็นเนินทรายกว้างสุดลูกหูลูกตา สลับกับมีต้นมะกอกเป็นแนวตามสันเขา บางช่วงก็เป็นไร่ไวน์ ดูสวยงามจริงๆ เราต้องบอกให้คนขับส่วนตัวอยุดถ่ายรูปเป็นระยะๆ แล้วก็ยังถ่ายระหว่างรถวิ่งอีก ด้วยอดใจไม่ไหว จริงๆเราออกเดินทางแต่เช้านะ ดันมาหลงทางซะนี่ กว่จะไปถึงก็เที่ยงแล้ว แต่จริงๆหลงทางนี่ก็ดีเหมือนกันนะ ได้เห็นเมืองได้เห็นทิวทัศน์ที่อื่นๆอีก

เมือง Volterra ก็เหมือนเมืองเก่าอื่นๆที่ได้ไปเยือนมาแล้ว นั่นก็คือ ตั้งอยู่บนเนินเขา มีกำแพงเมืองร้มรอบตัวเมืองเอาไว้ เมื่อผ่านเข้ากำแพงเมืองไป ก็เริ่มสัมผัสกับตัวอาคารซึ่งเป็นอาคารหินสูงๆ มีร้านค้าเรียงรายไปทั่ว น่ารักดี บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่า ทำไมคนสมัยก่อนถึงได้สร้างอะไรได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ หินก้อนใหญ่ๆทั้งนั้น แล้วยังแข็งแรงทนทานมาจนถึงทุกวันนี้ จากหนังสือท่องเที่ยวบอกไว้ว่า เมืองนี้มีอาคารศาลาว่าการเมืองที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในแคว้น Toscana มีผลิตภัณฑ์ที่สำคัญซึ่งเป็นงานแกะสลักที่ทำจากหินอ่อน ซึ่งจะเห็นได้ทั่วไปตามร้านขายของที่ระลึก
เดินได้ไม่นานก็ทั่วแล้ว สำหรับเมืองเล็กๆแห่งนี้ อีกอย่างเราไม่ได้เข้าไปดูละเอียดในแต่ละสถานที่ด้วย ได้แต่เดินดูไปเรื่อยเปื่อย จากนั้นก็หาที่กินกลางวันวัน แล้วก็ออกเดินทางต่อ เราจะไปเมือง Pisa เพื่อไปดูหอเอนเมืองปิซ่า ซึ่งเป็นที่ที่สำคัญที่แทบทุกทัวร์จะไม่พลาด แล้วเราจะพลาดได้อย่างไรล่ะ แต่คนขับรถส่วนตัวของเราทำท่าอิดออด ไม่ค่อยอยากจะไป เธอบอก ก็งั้นๆอ่ะ ไม่มีอะไรน่าสนใจนอกจากไอ้หอเอนนี่อย่างเดียว ก็นั่นล่ะ ที่ฉันจะต้องไปเห็นด้วยตาตัวเองง่ะ ไม่ไปได้ไง อุตส่าห์มาถึงนี่แล้ว ถ้าไม่ไป แล้วเมื่อไหร่ฉันจะได้กลับมาอีกเล่า














หลังจากกินกลางวันเสร็จแล้ว ก็เดินเล่นดูร้านค้าและตัวเมืองต่างๆไปเรื่อยจนพอใจแล้ว เราก็ออกเดินทางกันต่อ จุดหมายคือเมือง Pisa เราใช้ทางด่วนกัน อ้อ ปกติเรามักเลี่ยงทางด่วน ไม่ได้กลัวเสียค่าทางด่วนหรอก แต่ว่าการใช้เส้นทางเล็กๆนั้น จะทำให้เห็นสภาพบ้านเมือง และความเป็นอยู่ของคนในแถบบ้านนอก อีกทั้งยังมีวิวสวยๆให้ดูตลอดทาง แต่ใช่ว่า ทางด่วนที่อิตาลี่จะไม่สวยเอาะเลยนะ มันก็สวยเหมือนกัน ไม่น่าเบื่อซะทีเดียวหรอก เอาล่ะ แต่ตอนนี้จะใช้ทางด่วน เพื่อร่นระยะเวลาเดินทางให้เร็วขึ้น เมื่อเริ่มเข้าเขตเมือง เราก็ไม่ค่อยประทับใจเลย เมืองนี้ดูไม่เป็นระเบียบ ดูรกรุงรัง ไม่สวยงามเลย แถมไม่มีย่านที่น่าเดินอีก เราก็เลยมุ่งหน้าไปหาหอเอนปิซ่าอย่างเดียวเลย หาที่จอดรถได้ก็รีบเดินดุ่มๆไปดู ยิ่งเดินใกล้เข้าไปก็เห็นยอดหอเอนใกล้เข้ามาทุกที พร้อมกันนี้ก็เห็นนักท่องเที่ยวที่หนาแน่น แน่นอนล่ะ ใครๆก็อยาจะมาสัมผัสด้วยตาตัวเองทั้งนั้นนี่
หอเอนเมืองปิซ่านนี้ คือหอนาฬิกาของเมือง มีชื่อเป็นทางการคือ Torre pendente di Pisa หรือ simply Torre di Pisa หอเอนนี้ไม่ได้ตั้งใจสร้างให้เอียงอย่างที่เห็น เริ่มสร้างขึ้นเมื่อ 9 สิงหาคม ปีค.ศ.1173 แล้วก็เริ่มเอียงในเดือนนั้นเองหลังจากเริ่มสร้างไปได้ไม่ทันไร หอเอนนี้มีความสูง 55.86 เมตร จากพื้นด้านที่ต่ำสุด และ 56.70 เมตรจากพื้นด้านที่สูงที่สุด มีน้ำหนักประมาณ 14500 ตัน มีบันได 294 ขั้น ส่วนประวัตินอกเหนือจากนั้นก็หาอ่านได้ที่ หอเอนปิซ่า จ้ะอยากขึ้นไปเหมือนกัน แต่คิวยาวมาก เพราะจำกัดจำนวนคนขึ้นด้วย สงสาร มชล ต้องมารอ ก็เลยไม่ขึ้นละกัน
ด้านข้างหอเอนนั้นก็ยังมี Duomo Santa Maria สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1064 โดยสถาปนิกชื่อ Buscheto จากข้อมูลนั้นว่า ข้างในนั้นสวยงาม แต่เราไม่ได้เข้าไปดูข้างในเช่นเคย อืม เสียดายเหมือนกัน
นอกจากนี้ยังมีอาคาร The Baptistery สร้างขึ้นในกลางศตวรรษที่ 12 เพื่อเป็นเกียรติ์แก่นักบุญ St. John the Baptist โดยสถาปนิกชื่อ Deotisalvi ส่วนข้อมูลต่างๆก็ดูได้ตามลิงค์ที่ให้ไว้นั่นแหละ อิอิ จริงๆ แปลก็ไม่ไหวแล้ว ภาษาก็งูๆปลาๆ กลัวขายหน้า เอาเท่านี้แล้วกัน








ภาพจากกล้องของบาร์ท




เราอยู่ที่เมืองปิซ่าไม่นานหรอก ดูๆแล้วก็ถ่ายรูปเสร็จก็กลับ ไม่รู้ มันร้อนด้วยมั้ง คนก็เยอะ มชล ก็เริ่มจะเหนื่อยแล้ว ถ่ายรูปเสร็จมานั่งพักกินไอติมกัน จากนั้นเดินทางกันต่อไปยังเมือง San Gimignano เช่นเคยเมืองนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาอีกแล้ว เราต้องจอดรถไว้นอกกำแพงเมือง แล้วเดินขึ้นบันไดเข้าสู่ตัวเมือง เมืองนี้ห้ามรถเข้าอ่ะ เข้าได้เฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้เท่านั้น
เมือง San Gimignano มีสัญญลักษณ์ที่โดดเด่นคือ เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยหอคอย สูงเด่นมากมาย เมืองนี้ถูกจัดให้เป็นหนึงในมรดกโลกของยูเนสโกด้วย อยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้ก้ไปตามลิงค์ที่ให้ได้เลยจ้ะ แบบว่าไปถึงก็เย็นแล้วอ่ะ มีเวลาดูไม่มาก ได้แต่เดินชมเมืองๆไปเรื่อยๆแล้วอ่ะ ไม่ได้เข้าไปดูอะไรเป็นพิเศษเลย ร้านรวงที่นี่ก็น่ารักๆ ของแบรนด์เนมก็มี แต่ไม่ได้ซื้อหรอก ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ หาข้าวกินดีกว่า จริงๆพูดข้าวก็ไม่ถูก เพราะไม่ได้อยู่เมืองไทยนะ แต่มันติดปากน่ะ เลือกร้านที่ไม่พลุกพล่านตามเคย กินเสร็จก็กลับที่พักกัน อืม มืดแล้วหลงทางอีกตามเคย ถึงที่พักสี่ทุ่มกว่า อิอิ
ภาพที่เมืองนี้ถ่ายจากกล้องของบาร์ท กล้องเราแบตหมดอ่ะ เจ็บใจจริงๆ ฮึ ลืมชาร์ตแบตอีกก้อนนึงอ่ะ










อืม มีแถมนิดหน่อย เมื่อเช้าออกจากที่พักน่ะ ระหว่างทาง เราเห็นน้องมืดแกนั่งเก้าอี้อยู่ริมถนน กางร่มกันแดดด้วย แต่งตัวจัดจ้าน ถ้าเห็นในเมืองก็ไม่น่าติดใจใช่ป่ะ แต่ที่ที่นั่งน่ะ มันเป็นริมถนนที่อยู่ในป่า ในทุ่งนาอ่ะ ไม่ใช่ที่เดินเล่นซักหน่อย เอ๊ะ เธอมานั่งทำไมเนี่ย คิดในแง่ดี เอ๊ะหรือมาเฝ้าไร่นา อา คงไม่ใช่แน่ๆ แต่งตัวเช่นนี้ เธอมาหาเหยื่อเหรอ เอ มันจะได้มั๊ยน้า แต่ถ้าไม่ใช่ แล้วเธอมานั่งทำไมอ่ะ อืม วันถัดไปก็เห็นเธอมานั่งที่เดิมอีกแล้ว เอ๊ะ ผ่านมาอีกหน่อย เจอน้องมืดอีกนางนึง แต่งตัวเปรี๊ยวๆยั่วๆ ยืนอยู่ อ๊ะ แน่นอนแล้ว พวกเธอมาหาเหยื่อยแน่ๆ แต่ก็ยังสงสัยอยู่ดีแหละ ว่าเค้าจะหาได้มั๊ยน้า แต่ก็ได้มั่งล่ะ ไม่งั้นคงไม่เสียเวลามายืนอ่ะ อ้อ คงจะมายืนเฉพาะกลางวันอ่ะนะ กลางคืนคงไม่ ก็มันมืดตื๊ออ่ะ ใครจะเห้นเธอล่ะ อิอิ ก็เป็นเรื่องแปลกอีกอันนึงที่ได้พบได้เห็นมา
No comments:
Post a Comment