26 January 2006

อิตาลีตอนจบ

Day15 2/09/05

วันนี้ตื่นเช้ามาอากาศดีจัง แต่เราไม่ไปไหนกันแล้วล่ะ ตั้งใจหยุดพักผ่อน (ทั้งๆที่จริงๆก็อยากไปเหมือนกันอ่ะ )พรุ่งนี้เราต้องเดินทางกลับกันแล้ว เฮ้อ เสียดายจัง บาร์ทต้องขับรถทั้งวัน ก็ต้องให้คนขับรถพักดีกว่า ที่สำคัญผู้โดยสารตัวน้อยจะได้มีเวลาเล่นมั่งนะ วันนี้เลยเป็นวันของ มชล เค้าล่ะ อิอิ พ่อพาเค้าไปเล่นน้ำในสระที่แคมปิ้ง ถึงเวลากลางวันก็กลับมาพัก จากนั้นก็ไปเล่นที่สนามเด็กเล่นอีก อืม เด็กๆวัยนี้ไม่ยอมอยู่นิ่งจริงๆ กลางวันก็ไม่นอน ส่วนเราก็นอนรับลมเย็นๆสบายๆ อิอิ แล้วก็มาซักซ้อมเส้นทางขับรถกันสำหรับพรุ่งนี้ บาร์ทต้องซักซ้อมคร่าวๆก่อนว่าจะใช้เส้นทางไหน ต้องผ่านที่ไหนมั่ง เราจะได้คอยสังเกตด้วย ก็เราอ่านหนังสือบนรถไม่ได้อ่ะ อ่านแล้วจะเวียนหัวเลยล่ะ พรุ่งนี้เราจะไม่กลับเส้นทางเดิม แต่เราจะกลับเข้าไปทางสวิสเซอร์แลนด์ จุดหมายอยู่ที่ซูริค กะจะไปเจอเพื่อนรุ่นน้องที่รู้จักกันทางเนต (จริงๆเคยไปเจอกันครั้งนึงแล้วที่ St Gallen ) ยังไม่ได้นัดกันมั่นเหมาะ ถ้าเจอก็เจอ ถ้าไม่เจอเราก็เที่ยวซูริคกัน คืนนี้เราเลยเข้านอนกันแต่หัวค่ำ เพราะต้องตื่นแต่เช้า

Day16 3/09/05

วันนี้ตื่นกันเจ็ดโมงเช้า จัดการเก็บของขึ้นรถ เก็บกวาดที่พักนิดหน่อย เสร็จแล้วไปกินอาหารเช้ากันที่ร้านในแคมปิ้งกัน สั่งนมให้ มชล ด้วยแต่เธอกินไม่หมด เจ้าของร้านใจดี เอาแก้วกระดาษแบบมีฝาใส่นมมาให้กินกลางทางด้วย ประทับใจป้าเจ้าของร้านสองคนนี้จัง อัธยาศัยดีมากๆเลย เก้าโมงกว่าเราก็เริ่มออกเกินทางกัน มุ่งหน้าไปทางฟลอเรนซ์ ปิซ่า เราใช้ทางด่วนโดยตลอด ระหว่างทางก็เพลิดเพลินกับวิวสองข้างทาง แม้จะเป็นทางด่วน แต่ก็เป็นเส้นทางที่สวยเหมือนกันนะ มีทั้งลาดชัน สูงต่ำสลับกันไป นึกอาลัยอาวรณ์อิตาลี่อยู่ลึกๆ





บ่ายกว่าๆเราก็มาถึงชายแดนสวิสกัน แวะพักที่ร้านใกล้ๆด่านเพื่อนหาอะไรรองท้อง และกดเงินด้วย เพราะที่นี่ใช้เงินฟรังสวิส เราผ่านด่านมาโดยไม่ต้องตรวจอะไร ก็เป็นงี้ทุกครั้งล่ะ เพราะเป็นรถในกลุ่มอียูเหมือนกัน เมื่อเข้าเขตสวิสแล้วก็ต้องตื่นตาตื่นใจกับวิวสองข้างทางอีกแล้ว แต่คราวนี้จะต่างกันตรงที่ ในอิตาลีนั้นจะเป็นต้นไม้ป่าเขา แต่ที่สวิสจะเป็นทะเลสาบสลับกับภูเขาคละเคล้ากันไป มือเราก็กดชัตเตอร์ระวิง กดๆไปเหอะ ชัดไม่ชัดก็ช่างมัน มันต้องมีซักรูปล่ะน่าที่ใช้การได้ หุหุ

ระหว่างนั้นก็จะเห็นเค้าเล่นเครื่องร่อนกันน่ะ เรียกอะไรไม่รู้ไม่แน่ใจ คล้ายๆโดดร่มน่ะ เยอะแยะเลย หลายๆคนก็ร่อนอยู่ข้างบนกลางทะเลสาบกัน แต่มีอยู่คนนึง แกลอยมาหวาดเสียวมาก ลอยเข้ามาในฝั่ง เกือบชนสายไฟใกล้ๆกับรางรถไฟน่ะ แต่ไม่รู้ผลหนอกนะ ว่าตกลงแกจะบังคับมันได้ป่าว เพราะรถเราเลยไปแล้ว ขับมาได้ซักระยะเฉียดๆไปทางลูกาโน โอว เห็นทะเลสาบลูกาโนอยู่แว๊บๆ อยากไปแวะจังเลย สวยมากๆ แต่ต้องตัดใจ เพราะเราไม่มีเวลา ยังเหลือระยะทางอีกยาวไกล โอกาสหน้าแล้วกันนะ ฝากไว้ก่อน


ด่านตรวจสวิส


หลุดเข้ามาได้ไงเนี่ย


เราขับมาเรื่อยๆตามเส้นทาง A2หรือE35 จนกระทั่งใกล้จะเข้าเขตเมือง Airolo รถเริ่มติดอีกแล้ว ติดเป็นทางยาวมากๆด้วย ติดเป็นชั่วโมงเลยอ่ะ ที่มันติดก็เป็นเพราะว่าข้างหน้าจะเป็นอุโมงค์ลอดเขาที่ยาวที่สุดในสวิสถ้าจำไม่ผิดนะ ยาวถึง 17 กิโลเมตร อุโมงค์นี้มีชื่อว่า St Gotthardtunnel อยู่ระหว่างเมือง Göschenen กับเมือง Airolo ตอนนั้นเราก็เริ่มอึดอัดแล้ว เลยถามบาร์ทว่าไม่เข้าอุโมงค์ได้มั๊ย ไปทางอื่นได้ป่าว เค้าบอกว่าได้เหมือนกัน ไปทางเล็กๆขึ้นเขาน่ะ มีแค่ทางนั้นทางเดียว ดูในแผนที่แล้ว โอยไม่ไหวค่ะ มันอ้อมมาก แล้วก็ต้องไต่เขาสูงมากด้วย เผลออาจจะไปถึงช้ากว่ารอเข้าอุโมงค์ซะอีก เออ งั้นไม่เอาดีกว่า ก็อดทนกันไป จนในที่สุดก็ได้เข้าซะที ถึงตอนนั้นเราได้รู้ว่า ที่มันช้า เพราะว่าต้องรอรถอีกฝั่งสวนมา คือผลัดกันน่ะ เพราะช่วงนี้มีการซ่อมแซมอุโมงค์ แล้วจำกัดความเร็วแค่ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มิน่ามันถึงติดนานขนาดนี้




เขาสูงทะมึนอยู่ข้างหน้านั่นล่ะที่เราจะเข้าไป



เกือบแล้วๆๆอดทนหน่อยนะ


หลุดจากอุโมงค์มาได้ค่อยโล่งใจหน่อย ข้างในมันดูอึดอัดนะสิ ออกมาเจอวิวทิวทัศน์งามตา ดวงอาทิตย์เริ่มอ่อนแสงแล้ว รถไม่ติดแล้ว วิวสองข้างทางสวยมากๆ เจอทะเลสาบเป็นระยะๆ มองเห็นโบถส์และหมู่บ้านริมทะเลสาปน่ารักมากๆ จนกระทั่งเราก็มาถึงซูริค
เกือบๆสองทุ่ม วนหาโรงแรมที่เราจองไว้จนเจอ เราจองไว้สองคืนด้วยกัน เอาของเก็บเรียบร้อยก็ได้เวลาไปหาข้าวกินกัน







เดินสำรวจไปทั่ว ไปเจอร้านอาหารเขมรชื่อ อังกอร์ โอว มันหรูเหลือเกิน มองเข้าไปมีแต่คนแต่ตัวดีๆทั้งนั้นเลย ไม่เอาดีกว่ากลัวล้มละลาย เดินไปไม่ไกล เจอร้านชื่อ นู๊ดเดิ้ล ดูหน้าตาร้านจะออกไปทางญี่ปุ่น เป็นร้านดูง่ายๆ เป็นกันเองดี ที่นั่งเป็นม้ายาวด้านนอก อืม เอาร้านนี้แหละ มันเป็นร้านก๋วยเตี๋ยว ยังไงซะเราต้องกินได้ เปิดเมนูดู อืม มีก๋วยเตี๋ยวญี่ปุ่น เวียดนาม เกาหลี มีของไทยด้วย อาหารไทยก็มี แต่เรากล้าๆกลัวๆที่จะสั่งอาหารไทย กลัวไม่ได้เรื่อง แต่จะเอาอย่างอื่นกลัวกินไม่ได้อีก เห็นในเมนูมีผัดไทยเส้นอุดรแบนๆด้วย (เค้าบรรยายงี้อ่ะ) เราก็นึกไปถึงเส้นจันท์โน่น เออ น่าจะพอได้ว่ะ เอานี้แล้วกัน จากนั้นก็สั่ง ชุดของกินเล่นแบบรวมให้ มชล ดีกว่า เพราะเค้าคงกินจานใหญ่อย่างเราไม่หมดหรอก ในนั้นก็มี ไก่สะเต๊ะ เกี๊ยวทอด ปอเปี๊ยะทอด แล้วก็ยำวุ้นเส้น คือกะว่าให้เค้ากินไก่สะเต๊ะหรือปอเปี๊ยะทอด ที่เหลือเราจะกินเอง 555555555 ของบาร์ทสั่งก๋วยเตี๋ยวอุดรผัด

ได้เวลาอาหารมาถึง อืม ก็อึ้งๆค่ะ ทั้งๆที่ก็แอบนึกไว้แล้วล่ะว่ามันคงไม่ใช่อย่างที่เราคิดน่ะ ของบาร์ทหน้าตาเป็นก๋วยเตี๋ยวญี่ปุ่น มันเป็นเส้นเหลืองๆกลมๆใหญ่น่ะ รสชาติพอกินได้ มาถึงของเรามั่ง ผัดไทย เฮ้อ หน้าตาคล้ายของบาร์ทแต่มันเป็นเส้นเหลืองแบนๆ ที่สำคัญ กระเดือกไม่ลงเลย แถมเราดันใส่เกลือป่นลงไปอีกเพราะนึกว่ามันเป็นน้ำตาลทรายอ่ะ ก็มันละเอียดมากๆๆเลย ด้วยความเคยชินน่ะ ว่าเครื่องปรุงบนโต๊ะของก๋วยเตี๋ยวน่ะ ก็ต้องเป็นน้ำตาลสิ ยิ่งอยากจะอ๊วกเลย กินไม่ได้แล้ว เหลือเต็มๆจานนั่นล่ะ หันมาทางของ มชล ดีกว่า หน้าตาใช้ได้ แต่ๆๆ ไม่ได้เรื่องเลย สะเต๊ะไก่รสชาติแปลกๆ มชล ไม่กิน เธอบอกไม่อร่อย แถมพูดเสียงดังด้วย ไอ้เราต้องบอก เบาๆลูก กลัวคนเสริฟจะค้อนเอา อิอิ อ้อ อธิบายนิด คำว่าอร่อยในภาษาดัชต์กับเยอรมันใช้คำเดียวกัน (ที่ซูริคเค้าพูดเยอรมัน)แล้วเธอก็พูดไม่อร่อยเป็นภาษาดัชต์ซะเสียงดังเลย

หันมาทางเกี๊ยวทอดมั่ง เออ สุนัขไม่รับปทานเหมือนกัน น้ำจิ้มก็คล้ายๆซีอิ๋ว ไม่รู้ชาติไหนญี่ปุ่นหรือเกาหลี เหม็นๆจะอ้วก ไม่รู้กินกันได้ไงเนี่ย อ้ะ ยังมีปอเปี๊ยะอยู่ แหวะ อมน้ำมัน แถมไม่กรอบอีก บาร์ทยังไม่กินเลย ทั้งๆที่เธอกินง่ายมากอยู่แล้ว สุดท้ายหันมาความหวังสุดท้ายที่ ยำวุ้นเส้น ก็ต้องผิดหวังตามเคย รสชาติมันหวานแหลม เขื่อนๆเฝื่อนๆบอกไม่ถูก สรุป จ่ายไป 84 ฟรัง แต่แหลกไม่ล่าย สบายใจไป ต้องเรียกเค้ามาเก็บไป เพราะนานแล้วมันยังเต็มจานอยู่เลย อิอิ แต่เค้าก็ไม่ถามนะ ว่าทำไมเธอไม่กินกันเลยเนี่ย ดีเหมือนกัน เราก็ไม่อยากจะต่อว่าหรอกว่าพวกเธอทำอาหารไทยชั้นเสียหายหมดเลย จากนั้นก็กลับมากินขนมต่อที่ห้องดีกว่า โทรหาเกตุ ถ้าว่างจะได้นัดเจอกัน ส่วนเพื่อนอีกคนไม่ได้โทรหา กลัวเค้าไม่สะดวก เจอเกตุ เลยนัดกันตอนบ่าย ช่วงเช้าเกตุต้องไปโบถส์ ดีเหมือนกัน ช่วงเช้าเราจะได้มีเวลาชมเมืองกันก่อนที่จะเมาท์กระจาย จากนั้นก็มาดูว่าพรุ่งนี้เราจะทำไงดี จะเดินเที่ยวเหมือนเดิมหรือว่าจะซื้อซื้อทัวร์นั่งรถและลงเรือชมเมืองกันดี เห็นแก่ลูกเขาเหนื่อยมาหลายวันแล้ว เลยตกลงซื้อทัวร์แล้วกัน คราวหน้าถ้ามีโอกาสค่อยมาใหม่ก็ได้

Day17 4/09/05

วันนี้เราตื่นเจ็ดโมงเช้า เพราะทัวร์เที่ยวแรกเริ่ม 9.45 น. ลงมาจัดการอาหารเช้ากันก่อน เรียบร้อยก็ออกเทินทางกัน เราทิ้งรถไว้ที่โรงแรม แล้วนั่งรถแทรมไป จะไปซื้อตั๋วที่ป้ายรถก็อไม่ได้ เพราะไม่มีเหรียญอ่ะ ร้านค้าแถวนั้นก็ยังไม่เปิด ทำไงดี หวังว่าอาจจะซื้อตั๋วบนรถได้ พอรถแทรมมาเราก้ขึ้นไป คนขับเป็นผู้หญิง ก็ถามเค้าว่าจะซื้อตั๋วบนรถได้มั๊ย ซื้อไมได้ค่ะ อืม...ก็บอกเค้าว่า เราไม่มีเหรียญเลยอ่ะ เธอบอก ขึ้นมาก่อนก็ได้ เดี๋ยวป้ายหน้าจะมีร้านขายของเล็กๆ เธอค่อยซื้อที่นั่นก็ได้ แต่ถ้ายังไม่เปิด ก็ไม่ต้องซื้อ ไม่เป็นไร พอถึงป้ายนั้นร้านยังไม่เปิด เธอบอกโอเค นั่งไปโลด พอถึงป้ายที่เราจะลง คนขับก็บอกว่าถึงแล้ว ลงไปเราก็เก้ๆกังๆกั มองหาที่ที่จะซื้อทัวร์ คนขับยังมีน้ำใจชี้ไม้ชี้มือให้อีก ว่าอยู่ตรงไหน มีน้ำใจจริงๆ

ทัวร์ที่เราจะไปกันวันนี้ราคาคนละ 37 ฟรังซ์ ช่วงแรกนั่งรถชมเมือง และอาจได้แวะลงไปบ้างนิดหน่อย 10-15 นาที หลังจากนั้นก็จะเป็นนั่งเรือชมทะเลสาบซูริค วันนี้พยากรณ์อากาศว่าจะมีแดดดี แต่ช่วงเช้าแดดยังไม่มา มีแต่หมอก กว่าแดดจะมาก็โน่นบ่ายสองบ่ายสามแล้ว ทัวร์เสร็จแล้วแดดถึงจะยอมเผยโฉม ก็มาดูภาพกันเลยแล้วกัน ก็ไม่สวยหรอกเพราะว่าแดดไม่มี แถมถ่ายจากในรถด้วย โทษไปนั่น ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


คันนี้ล่ะรถนำเที่ยว



มชลฟังบรรยายกะเค้าด้วย รู้เรื่องป่าวน่ะ




ชมเมืองไปได้ซักพัก ก็ได้แวะลงดูสถานที่ที่ Winston S. Churchil นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้กล่าวสุนทรพจน์หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ใจความคร่าวๆเกี่ยวกับการฟื้นฟูของประเทศในยุโรป คร่าวๆแค่นี้แหละ เนี่ยถามบาร์ทอ่ะ ไม่ได้ค้นเองหรอก ฮ่าๆๆๆๆๆๆ จริงๆตอนนั้นก็ฟังๆไปงั้นไม่ได้สนใจไม่ได้จดจำ เพราะตั้งใจมาดูอย่างเดียว เรื่อยเปื่อย ไม่จริงจัง กะไว้ว่าถ้าคราวหน้าได้มาอีกค่อยดูใหม่


ตัวอาคารด้านหลัง



จากรึกไว้ที่พื้นหน้าประตูอาคาร



ตัวอาคารด้านหน้า


จากนี้ก็จะเป็นภาพบริเวณใกล้เคียง ใกล้กันนั้นมีโบถส์ด้วย แต่ไม่ได้เข้า มีพิธีการอยู่ เข้าได้ช่วงบ่าย ก็เลยไม่ได้กลับมาดูอีก

















จากนี้ไปก็จะเป็นภาพจากในรถซะส่วนใหญ่ ไม่บรรยาย เพราะลืมหมดแล้ว





จากนี้ไปจะเป็นภาพจากการล่องเรือชมทะเลสาบ หนาวเหมือนกันเพราะลมแรงแล้วก็ไม่มีแดดด้วย










ลงจากเรือก็มาถ่ายรูปกับรูปปั้นหมี ซึ่งจะมีให้เห็นเป็นระยะๆทั่วเมือง มันเป็นเทศกาลอะไรก็ไม่รู้เลยมีหมีอยู่ทั่วเมืองน่ะ ลงจากเรือก็เจอเพื่อนมารออยู่แล้ว เกตุกับลูกสาวชื่อคารีน่าแต่เรียกกันว่าแก้มใส เจอกันก็ไม่ต้องพูดมาก ฮ่ๆๆๆๆๆๆ ไปกินก๋วยเตี๋ยวเป็ดเจ้าอร่อยกันเหอะ ตอนนั้นบ่ายโมงกว่าแล้วด้วย หิวๆๆๆๆ ไปถึงก็สั่งมาคนละชาม เราสั่งสองชามให้ลูกด้วย ด้วยความหิวแล้วก็ไม่ได้ถามก่อนว่าชามมันใหญ่แค่ไหน จ๊ากกกกกก ชามเท่ากะละมัง แต่อร่อยมากๆเลย แต่ก็กินเกือบจะไม่หมดน่ะ ส่วนของ มชล น่ะไม่หมดอยู่แล้ว ก็เลยช่วยกันระหว่างเรากับเกตุ อิอิ ของบาร์ทสั่งข้าวผัดกุ้งกับ กระดูกหมูทอดกระเทียมพริกไทย กินเสร็จจ่ายไปเกือบร้อยฟรังซ์ แพงเหมือนกัน กั่กๆๆ แต่ช่างเหอะ อร่อยเป็นใช้ได้ ไม่ได้กินทุกวันนี่หว่า

กินเสร็จก็หาที่นั่งเล่นกัน ดุในแผนที่มีสวนสาธารณะใกล้ๆ มีสนามเด็กเล่นด้วย เลยเดินมานั่งคุยกันในนี้ เด็กๆจะได้เล่นกันไป แล้วก็ กลัวบาร์ทจะเฉาซะก่อนเลยบอกเค้าว่า ถ้าอยากไปเดินดูอะไรคนเดียวก็ได้นะ ส่วนเราจะนั่งเมาท์กันอยู่นี่แหละ แล้วเด๋วค่อยนัดเจอกันที่ท่าเรือในเมือง ก้คุยกันสัพเพเหระเรื่อยเปื่อย สลับกับเล่นกับเด็กสองคนไปด้วย


สองสาวเดินคุยกันหนุงหนิง



อ้าวแก้มใสจะไปไหนอ่ะ มานี่จิ อย่างอนน่า



ไปเล่นกันนะนะ เค้ามาง้อแล้วนะ


ก็คุยกันจนคอแห้ง ได้เวลาก็ขึ้นรถเมลล์ไปเจอบาร์ทที่ท่าเรื่อ บาร์ยังไม่มา เลยไปแวะซื้อขนมปังมาให้เป็ดให้หงส์กิน จริงๆเอาให้เด็กน้อยสองคนโยนให้เป็ด แบบว่าเธอจะได้อยู่กับที่ได้มั่ง ไม่งั้นต้องคอยจับปูใส่กระด้งกัน ขนมปังน่ะซื้อมาก้อนใหญ่ เด็กๆก็บิไปทีละนิดละหน่อย พอบาร์ทมาถึงก็เลยไปช่วยเด็กน้อยเอาขนมปังให้เป็ด เราสองคนมั่วแต่คุย เผลอแป๊บเดียว หันไปดูอีกที บาร์ทโยนก้อนเบ้อเริ่มเลยอ่ะ
"เฮ๊ย ทำไมโยนก้อนใหญ่นักเล่า เด๋วก็หมดหรอก" เราร้องเสียงหลง แต่ไม่ทันการซะแล้ว หมดพอดี
"อ้าว ก็เอามาให้เป็ดไม่ใช่เหรอ" แน่ะยังจะมาถามอีก
"ก็ใช่ แต่ให้เด็กเค้าเล่นกัน ไม่ใช่เธอนี่ หมดแล้วเด๋วก็ร้องกันอีกล่ะ"
"ใครจะรู้ล่ะ ไปซื้อเอาใหม่ดิ"
"เธอไปซื้อดิ อยู่ตั้งไกล"
ตกลงก็ไม่ได้ซื้อใหม่ ทีนี้ก็อยู่ไม่สุขกันล่ะ ต้องคอยจับปูใส่กระดงกัน เราก็นั่งเล่นกันไปเรื่อยๆ มันยังเป็นช่วงปลายหน้าร้อน เลยมืดช้าหน่อย เราไม่ได้ไปกินอะไรอีก เพราะยังจุกกับก๋วยเตี๋ยวไม่หายเลย จนเกือบสองทุ่มถึงได้ร่ำลากัน เสียดายที่มีเวลาน้อยไปหน่อย แต่ก็ยังดีที่ได้เจอกันเนอะ










แก้มใส(คารีน่า)



แยกย้ายกันไปเมื่อดวงอาทิตย์ลับฟ้า


Day18 5/09/05

เช้าวันนี้เราต้องเดินทางกลับฮอลแลนด์กันแล้ว จากสวิสเซอร์แลนด์มุ่งหน้าเข้าเยอรมัน หยุดพักเป็นระยะๆ จนเข้าเขต Moezel เป็นพื้นที่ที่ปลูกไวน์ที่มีชื่อเสียงของเยอรมัน ตรงนี้มีสะพานซึ่งสูงมากๆๆ มีจุดให้แวะชมวิว เราเลยแวะกันนิดนึงเพื่อเก็บภาพสุดท้ายของทรปนี้


ตัวสะพาน มองแบบนี้ไม่ค่อยรู้สึกว่าสูงเท่าไหร่



ที่เห็นนั่นเป็นไร่ไวน์


จากนั้น ก็ขับรถรวดเดียวถึงบ้านเลย กลับถึงบ้านประมาณหกโมงเย็นได้ แวะเอาของเก็บแล้วก็ออกไปซุปเปอร์กันต่ออีก ซื้อของซื้อกับข้าวเอามาทำกินกัน

แล้วการเดินทางครั้งนี้ของเราก็จบลง เหนื่อยเหมือนกันแต่ก็สนุกนะ ได้พบเห็นสิ่งต่างๆมากมาย เป็นกำไรของชีวิตจริงๆ


แล้วพบกันทริปหน้านะคะ

1 comment:

007 said...

รูปเยอะมากเลยและสวยมากคับ อยากไปบ้างจัง ล่องอิตาลี่ เคยไป แต่โรมกับโตรีโน ไว้ถ้ามีโอกาสคงได้ไป